INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

 กองมันให้สูง ขายมันให้ถูก

 

กองมันให้สูง ขายมันให้ถูก

ถ้อยคำ “กองให้สูง และขายมันให้ถูก” เป็นสุภาษิตต้นกำเนิดของผู้ก่อตั้งเทสโก แจ็ค โคเฮนรักษาต้นทุนให้ต่ำด้วยการขายสินค้าจำนวนมากมันเป็น

รากฐานของการเจริญเติบโตของมันอยู่บนพื้นฐานหลักการความประหยัด

จากขนาดตรงที่ปริมาณสูงทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลงด้วยการขายสินค้า

เป็นจำนวนมาก บริษัทสามารถ ได้ส่วนลดปริมาณจากซัพพลายเออร์ และส่งต่อความประหยัดเหล่านี้ไปยังลูกค้า ผ่านทางราคาที่ต่ำลงที่สร้างวงจรประเสิรฐของการเพิ่มยอดขาย และการทำกำไร กลยุทธ์นี้ถูกบุกเบิกโดย

ผู้ก่อตั้งเทสโก เเจ็ค โคเฮนบนความคิดว่าปริมาณขายที่สูงขึ้นจะขับเคลื่อนการทำกำไร

ในขณะที่เทสโกก้าวเลยพ้นไปจากโมเดลที่เรียบง่ายนี้ กลยุทธ์ต้นกำเนิด

ยังคงสะท้อน ภายในวิถีทางความเป็นผู้นำทางต้นทุนในขณะนี้ของมันของการใช้ความประหยัดจากขนาด และลูกโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพที่จะนำ

เสนอราคาที่ต่ำแก่ลูกค้า กลยุทธ์ต้นกำเนิดของเเจ็ค โคเฮน คือรักษาราคาให้ต่ำด้วยการขายสินค้าจำนวนมากบนพื้นฐานหลักการ กองมันให้สูง และขายมันให้ถูก การใช้ประโยชน์ความประหยัดจากขนาด ที่ลดต้นทุนเฉลี่ยของมันให้ต่่ำลง และส่งผ่านการประหยัดเหล่านี้ไปยังลูกค้า เทสโกได้ใช้ความเป็นผู้นำทางต้นทุน บรรลุความประหยัดจากขนาด ที่ผ่านทางขนาดของมัน

ภายในเศรษฐศาสตร์จุลภาค อำนาจตลาดผูกขาดโดยผู้ซื้อของเทสโก อธิบายอำนาจตลาดที่สำคัญของมันเป็นผู้ซื้อที่สำคัญจากซัพพลายเออร์ ทำให้มันเจรจาต่อรองราคาที่ต่ำเทสโกเป็นตัวอย่างโลกแห่งความเป็นจริงของตลาดผูกขาดโดยผู้ซื้อภายในตลาดยูเค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน

ความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ของมัน ส่วนแบ่งตลาดที่สูงของมันภายใน

ร้านขายของชำ ให้อำนาจอย่างสำคัญเจรจาต่อรองราคาต่ำจากซัพพลาย

เออร์ อย่างเช่น เกษตรกรและผู้ผลิตอาหาร

 

ความประหยัดจากขนาดของเทสโกกำเนิดจากกลยุทธ์การเจริญเติบโต

ของมันจากแผงลอยตลาดไปสู่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ภายหลังจากการเริ่มต้นแผงลอยตลาดเมื่อ ค.ศ 1919 แจ็ค โคเฮน ได้ขยายการขายสินค้า ราคาที่ต่ำ บรรลุปริมาณสูง วิถีทางที่กองมันให้สูงขายมันให้ถูกเป็นศูนย์กลางต่อการพัฒนาความประหยัดจากขนาด ยึดกลยุทธ์แกนของการบรรลุขนาดที่จะลดต้นทุนและดึงดูดลูกค้ากลยุทธ์นี้ทำให้เทสโกใช้ประโยชน์จากขนาดของมัน เจรจาต่อรองราคาที่ต่ำกับซัพพลายเออร์ การทำให้มันซื้อจำนวนมาก ณ ต้นทุนที่ต่ำเเหล่งที่มาสำคัญของความประหยัดจากขนาดสโลแกน กองมันให้สูง ขายมันให้ถูก ได้ยึดความคิดนี้อย่างสมบูรณ์

แนวคิดความประหยัดจากขนาดได้ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ด้วยการคิด

สมัยใหม่ของมันมักจะอ้างอิงต่อผลงานของอดัม สมิธ และต่อมานิยมแพร่

หลายโดยนักเศรษฐศาสตร์อย่างเช่น อัลเฟรด มาร์แชล อดัม สมิธ ได้วาง

รากฐานภายในหนังสือ 1776 ของเขา “The Wealth of Nations” ด้วยการ

อธิบายประโยชน์ของความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และการแบ่งงานกันทำที่

เป็นแกนของแนวคิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำความประหยัดจากขนาดโดยตรง แต่เขาได้ถูกยกย่องด้วยความคิดรากฐานอธิบายการแบ่งงานกัน

ทำภายในโรงงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างไร

โรงงานเข็มหมุดของอดัม สมิธ จะเป็นตัวอย่างจากหนังสือของเขา “The

Wealth of Nations” แสดงเเนวคิดของการแบ่งงานกันทำ และมันจะเพิ่ม

ประสิทธิภาพการผลิตอย่างน่าทึ่งได้อย่างไรด้วยการแบ่งกระบวนการทำ

เข็มหมุดเป็นงานเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เล็กลงทำโดยคนงานแตกต่่างกัน โรงงานสามารถผลิตเข็มหมุดได้จำนวนมากกว่าถ้าให้คนงานทำเข็มหมุด

ทั้งอัน

การแบ่งงานกันเฉพาะด้านนี้นำไปสูประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลงและผลผลิตสูงขึ้น อดัม สมิธ ได้เชื่อมโยงแนวคิดนี้ภายในโรงงานเข็มหมุดของเขา ความคิดนี้ถูกพัฒนาต่อไประหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม ตรงที่ความก้าวหน้านำไปสู่การผลิตแบบจำนวนมากภายในโรงงานใหญ่ และต่อมาถูกทำให้เป็นทางการ โดยนักเศรษฐศาสตร์ อย่างเช่น จอห์น สจวต มิลล์ และอัลเฟรดมาร์เเชลภายในปลายศตวรรษที่สิบเก้า

จอห์น สจ็วต มิลล์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ วิเคราะห์ความประหยัดจากขนาดอย่างกว้างขวางภายในผลงาน 1848 ของเขา “Principles of Polictical Economy” การมุ่งที่การเพิ่มภายในขนาดการผลิตจะนำไปสู่ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นภายในโรงงานอย่างไร การวิเคราะห์ของเขาได้รับอิทธิพลโดยนักเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้านี้อย่างเช่นอดัม สมิธ จอห์น สจ็วต

มิลล์ ได้วิเคราะห์อย่างมีระบบคนแรกของความประหยัดจากขนาดที่ผ่านทางการแบ่งงานกันทำ แต่เขามุ่งเน้นว่าประโยชน์ของความประหยัดจากขนาดต้องถูกสมดุลด้วยสิทธิของคนงานและสิ่งที่ดีขึ้นของสังคม เขาได้ยืนยันว่าองค์ประกอบมนุษย์สำคัญต่อประสิทธิภาพการผลิต ที่เสนอแนะว่าการลงทุนการศึกษาและการพัฒนาทักษะสามารถเพิ่มพลังและผลผลิตของคนงานได้

ภายในเศรษฐศาสตร์จุลภาค ความประหยัดจากขนาด เป็นข้อได้เปรียบ

ทางต้นทุนที่บริษัทได้มา โดยการเพิ่มปริมาณการผลิต การนำไปสู่ต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลงของผลผลิต มันเกิดขึ้นเพราะว่า การผลิตจำนวนมากทำ

ให้ต้นทุนคงที่กระจายไปสู่จำนวนหน่วยมากขึ้นทำให้ต้นทุนคงที่เฉลี่ยต่ำ

ลง เเนวคิดสมัยใหม่และคำศัพท์เพื่อความประหยัดจากขนาดถูกนิยมแพร่

หลายโดยนักเศรษศาสตร์ เช่น อัลเฟรด มาร์เเชล ภายในปลายศตวรรษที่สิบเก้า เขาได้ให้รากฐานทางทฤษฎีและการปฏิบัติเพื่อความเข้าใจต้นทุนลดลงเมื่อผลผลิตขึ้นเพิ่มอย่างไร

ผลงานของอัลเฟรด มาร์เเชลภายใน “The Principles of Economics”

ได้สร้่างกรอบข่ายที่ครบวงจร เพื่อเเนวคิดอย่างเช่นอุปสงค์และอุปทาน

รวมถึงแนวคิดของเส้นต้นทุนเฉลี่ยระยะยาวของบริษัท – LRAC – LRAC

แสดงว่าต้นทุนเฉลี่ยของบริษัทจะเริ่มลดลงเนื่องจากความประหยัดจาก

ขนาด แล้วมันจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากความไม่ประหยัดจากขนาดภายหลังที่ระดับผลผลิตจำนวนหนึ่งได้บรรลุ เขาแยกความแตกต่างความประหยัดจากขนาดเป็นสองประเภทคือ ความประหยัดภายใน และความประหยัดภายนอก การให้ภาพที่สมบูรณ์มากขึ้นของประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทเปลี่ยนแปลงกับขนาดของมันอย่างไร

*ความประหยัดภายใน

ความประหยัดภายในเกิดขึ้นจากการลดต้นทุนภายในบริษัท เมื่อมันได้

เพิ่มการผลิต เนื่องจากปัจจัยอย่างเช่นความเชียวชาญเฉพาะด้านและการ

บริหารที่มีประสิทธิภาพ มันเป็นประโยชน์ที่บริษัทเดียวได้บรรลุ เนื่องจากการเจริญเติบโตของมันเองและสามารถควบคุมโดยผู้บริหารของมัน เช่น การซื้อวัตถุดิบจำนวนมากที่ได้ส่วนลดหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำ

ให้คนงานเชี่ยวชาญงานเฉพาะด้านที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของพวกเขา

*ความประหยัดภายนอก

ความประหยัดภายนอกเกิดขึ้นจากการลดต้นทุนเพื่อทุกบริษัทภายใน

อุตสากรรม มันเป็นผลลัพธ์ของปัจจัยทั่วทั้งอุตสากรรม เช่น การปรับปรุง

โครงสร้างพื้นฐาน หรือตลาดเเรงงานรวม มันจะเป็นประโยชน์ที่กระทบทั้งอุตสาหกรรม มันเป็นข้อได้เปรียบทางต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตโดยส่วนรวมไม่ใชการการกระทำของบริษัทเดียว

การวิเคราห์ความประหยัดจากขนาดของอัลเฟรด มาร์เชล ถูกแสดงได้ดี

ที่สุดโดยรูปกราฟ แสดงเส้นต้นทุนเฉลี่ยระยะยาว ลาดลงจากซ้ายไปขวา

เส้นโค้งนี้แสดงว่าเมื่อบริษัทเพิ่มผลผลิตของมันบนแกน X ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของมันจะลดลงบนแกน Y โดยเฉพาะ ทางด้านซ้ายมือของเส้นโค้ง อัลเฟรด มาร์แชล ได้แสดงความไม่ประหยัดจากขนาดอาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเส้นโค้งนี้เอียงลาดขึ้นข้างบนทางด้านขวา ที่แสดงว่าเมื่อปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้นด้วย รูปกราฟได้แสดงบริษัทอาจจะ

ในที่สุดเผชิญกับต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นภายหลังจุดของความประหยัดจาก

ขนาดผ่านไปเเล้ว

อัลเฟรด มาร์แชล ระบุว่าความไม่ประหยัดจากขนาดจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัท

กลายเป็นใหญ่จนเกินไป นำไปสู่ต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาของ

การบริหาร การสื่อสาร และการประสานงานเมื่อบริษัทได้เจริญเติบโตจน

เลยพ้นขนาดที่เหมาะสม ความไม่ประหยัดภายในและภายนอกจะทำให้

ต้นต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น

ความไม่ประหยัดภายในเกิดขึ้นภายในบริษัทหนึ่ง เนื่องจากการเจริญ

เติบโตของมันเอง ที่เกิดขึ้นจากปัญหาอย่างเช่นการสื่อสารไม่ดี และการ

บริหารขาดประสิทธิภาพเกิดขึ้นเมื่อบริษัทกลายเป็นใหญ่จนเกินไปที่จะ

ควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ความไม่ประหยัดภายนอกเกิดขึ้น ณ ระดับ

อุตสาหกรรม ตรงที่การกระจุกตัวมากเกินไปของบริษัทภายในพื้นที่หนึ่ง

นำไปสู่ปัญหาร่วมกันต่อทุกบริษัท อย่างเช่น การแข่งขันท้องที่จะเพิ่มขึ้น

เพื่อทรัพยากร ความแออัดของการจราจร และผลกระทบภายนอกทาง

ลบอื่น

*ความไม่ประหยัดภายใน

*ระบบราชการ

บริษัทที่ใหญ่ขึ้นชอบต่อระบบราชการมากขึ้นที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น

ระบบราชการ ทำให้โครงสร้างการบริหารของบริษัทใหญ่จะกลายเป็นซับซ้อนจนเกินไป นำไปสู่การตัดสินใจที่ล่าช้า การบริหารขาดประสิทธิภาพ

บริษัทใหญ่จะพัฒนาระดับการบริหารมากขึ้น กฏและข้อบังคับซับซ้อนที่สามารถขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และทำให้การตัดสินใจช้าลง บุคคล

จะคับข้องใจที่รู้สึกว่า การมีส่วนช่วยของพวกเขาถูกให้คุณค่าน้อย โครง สร้างระบบราชการสามารถจะกลายเป็นต้นต้นตอความไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อมันตายตัวหรือซับซ้อนจนเกินไป

*การสื่อสารไม่ดี

เมื่อบริษัทเจริญเติบโต การสื่อสารภายในจะกลายเป็นซับซ้อนมากขึ้น ข้อมูลต้องผ่านทางระดับการบริหารมากขึ้น ทำให้การตัดสินใจช้าลง และ

เพิ่มความเสี่ยงภัยของข้อมูลกลายเป็นบิดเบือนการนำไปสู่ความผิดพลาด

และประสิทธิภาพการดำเนินงานลง มันกลายเป็นยุ่งยากมากขึ้นต่อข้อมูล

ที่จะไหลเวียนผ่านทางระหว่างแผนกงานที่แตกต่างกัน และตามลำดับชั้น

การบริหาร มันสามารถจะนำไปสู่การสื่อสารที่ผิดพลาดและความซ้ำซ้อนของงาน

*การบริหารขาดประสิทธิภาพ

บริษัทกลายเป็นใหญ่จนเกินไปที่จะบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นำไป

สู่การขาดการประสานงานและการควบคุมการตัดสินใจช้าลงและการขาดการตอบสนอง มันกลายเป็นยากขึ้นต่อผู้บริหารระดับสูงที่จะรักษามุมมอง

ที่ชัดเจน และควบคุมทุกด้านของธุรกิจ การนำไปสู่ระบบราชการลำดับชั้นที่ซับซ้อน ทำให้บริษัทมีต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มสูงขึ้น

* แรงจูงใจของบุคคลลดลง

เมื่อบริษัทใหญ่ใหญ่ขึ้น บุคคลอาจจะรู้สึกมีคุณค่าน้อยไม่เชื่อมโยง และถูกทดแทนได้มากขึ้น พวกเขาจะมองว่างานของพวกเขามีความหมายน้อย และรู้สึกห่างเหินเมื่อบุคคลไม่ได้ยุ่งเกี่ยวต่อไปภายในกระบวนการที่สร้างสรรค์ หรืองานของพวกเขารู้สึกน่าเบื่อ และไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายโดยส่วนรวมของบริษัท การนำไปสู่เเรงจูงใจที่ต่ำลงประสิทธิภาพจะลดลงและต้นทุนแรงงานต่อหน่วยสูงขึ้น

*ความไม่ประหยัดภายนอก

*การเเข่งขันเพื่อทรัพยากรเพิ่มขึ้น

เมื่ออุตสาหกรรมเจริญเติบโต ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นต่อทุกบริษัทภายในอุตสาหกรรม บริษัทจะแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรที่จำกัด อย่างเช่นวัตถุดิบที่หายาก และแรงงงานที่มีทักษะ นำไปสู่ราคาที่สูงขึ้น ขับเคลื่อนให้ต้นทุนของวัตถุดิบ เเรงงาน ที่ดินสูงขึ้นต่อทุกบริษัทภายในพื้นที่การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมท้องที่ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถนำไปสู่การขาด

แคลนของทรัพยากรเหล่านี้ขับเคลื่อนราคาของมันให้สูงขึ้น ความต้องการ

ที่สูงเพื่อคนงานที่มีทักษะทำให้ค่าจ้างสูงขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม

*การจราจรแออัด

การกระจุกตัวของบริษัทภายในพื้นที่หนึ่งสามารถนำไปสู่การจราจร

ที่เพิ่มเวลาการจัดส่งและต้นทุนการขนส่งต่อบุคคลทุกคนทำให้การดำเนิน

งานของธุรกิจช้าลง การขับรถยนต์บนถนนที่แออัด เพิ่มเวลาเดินทาง และการใช้น้ำมันต่อผู้ขับรถยนต์ทุกคน การจราจรเเออัดเป็นความไม่ประหยัด

ภายนอกสามารถทำร้ายธุรกิจด้วยการเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานการจำกัด

การเข้าถึงตลาด และประสิทธิภาพลดลง

*ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม

สิ่งเเวดล้อมเป็นพิษจากโรงงานจำนวนมากสามารถลดคุณภาพของ

ชีวิตของบุคคลลง ตรงที่มลภาวะของโรงงานอย่างเช่นมลพิษของอากาศ

และน้ำสร้างต้นทุนต่อชุมชนรายรอบเช่นปัญหาทางสุขภาพความเสียหายของทรัพย์สิน และต้นทุนทำความสะอาดที่ไม่ได้สะท้อนภายในต้นทุนการการผลิตของโรงงาน

อดัม สมิธ ได้ให้เรื่องราวที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ภายในเศรษฐศาสตร์คือ การผลิตเข็มหมุด ภาพวาดของโรงงานเข็มหมุดของช่วงเวลานี้จะแสดงให้เห็นคนงานใช้มือ อดัม สมิธ ได้กล่าวว่า คนงานของโรงงานเข็มหมุดจะได้รับรายได้ต่ำทั้งที่ประสิทธิภาพการผลิตของพวกเขาสูงมันตรงกันข้ามกับสมมุติฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ประสิทธิภาพการผลิตที่สูง – ผลผลิตต่อคนงาน จะนำไปสู่ค่าจ้างที่สูง เขายืนยันว่าคนงานสิบคนสามารถผลิตเข็มหมุดได้ 48,000 ตัวต่อวันถ้าเราได้มีการแบ่งงานกันทำระหว่างคนงานด้วยการแยกกระบวนการเป็นขั้นตอน แตกต่างกันสิบแปดขั้นถ้าคนงานสิบคนทำทุกขั้นตอนด้วยต้วพวกเขาเอง คนงานแต่ละคนจะผลิตเข็มหมุดได้ 10 หรือ 20 ตัวต่อวันเท่านั้น

ดังนั้นการลดลงของต้นทุนต่อหน่วยและผลผลิต ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากไม่เพียงแต่จะทดแทนวิธีการเดิมของการผลิต มันได้เพิ่มศักยภาพ “ขนาดของตลาด” ด้วย ดังนั้นการแบ่งงานกันทำจะถูกจำกัดโดยขนาดของตลาด ลูกค้าที่มีอยู่จะไม่เพียงแต่ซื้อเข็มหมุดมากขึ้น ณ ราคาที่ต่ำลง แต่จะคิดถึงวิถีทางใหม่ ที่จะใช้เข็มหมุดที่ถูกลงด้วย ขอบเขตพื้นที่ของตลาดเข็มหมุด

จะขยายตัว การลดลงของต้นทุนการขนส่งปัจจุบัน และอนาคตต่อไปย่อมจะขยายตลาดท้องที่และเพิ่มการส่งออก

เฮนรี่ ฟอร์ด บิดาของสายพานประกอบและการผลิตจำนวนมากได้ค้นพบการใช้ทางปฏิบัติของการบริหารแบบวิทยาศาสตร์ของเฟดเดอริคเทเลอร์ เมื่อเขาได้เริ่มต้นฟอร์ด มอเตอร์ คอมพานี เมื่อ ค.ศ 1913 เฮนรี่ ฟอร์ด ได้แสวงหาที่จะนำรถยนต์สู่มวลชนด้วยการนำเสนอรถยนต์ ราคาที่สามารถซื้อได้ เพื่อที่จะบรรลุสิ่งนี้ เขาได้นำเสนอรถยนต์โมเดลเดียว โมเดลที ด้วยสีดำสีเดียว วิถีทางนี้และวิธีการสายพานประกอบที่ตายตัวทำให้ฟอร์ดนำเสนอรถยนต์แก่บุคคลทุกคนที่สามารถซื้อได้

ภายใต้แนวคิดสายพานประกอบของเขา เฮนรี่ ฟอร์ด ได้มองการผลิตรถ

ยนต์จะเป็นกระบวนการเดียวด้วยขั้นตอนเรียงลำดับ เขาได้ใช้แนวคิดการแบ่งงานกันทำของอดัม สมิธ คนงานแต่ละคนจะทำงานอย่างเดียว ด้วยวิธีการที่กำหนดให้และทำซ้ำ เขาได้บรรลุความประหยัดจากขนาด ผ่านทาง

สายพานประกอบที่ปฏิรูปของเขา การผลิตแบบจำนวนมากของโมเดล ที

โดยชิ้นส่วนมาตรฐาน และการแบ่งงานกันทำมันได้ลดเวลาการผลิต และ

ต้นต่อหน่วยลงอย่างน่าทึ่ง การทำให้เขาลดราคาและให้ความเป็นเจ้าของ

รถยนต์เข้าไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น

เทสโกได้ใช้กรอบข่ายลูกโซ่่คุณค่าของไมเคิล พอร์เตอร์ สร้างข้อได้

เปรียบทางการเเข่งขัน ด้วยการวิเคราะห์กิจกรรมหลัก และกิจกรรมสนับ

สนุน บริษัทได้บรรลุสิ่งนี้ผ่านทางลูกโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ – การขน

ส่งขาเข้าและการขนส่งขาออก – และด้วยการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีเพื่อ

การตลาดและการขาย เทสโกจัดการลูกโซ่อุปทานที่คล่องตัวรับ และเก็บ

สินค้าไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเหลือภายในการควบคุมต้นทุน เช่น

การลงทุนรถพ่วงใหม่และใหญ่เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและลดต้นทุน

การขนส่ว เทสโกได้ให้ทางเลือกการจัดส่งที่ยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำ อย่างเช่น การจัดส่งถึงบ้าน และบริการคลิกแอนด์คอลเล็ตนำสินค้าไปสู่ลูกค้า

ด้วยการใช้ข้อมูลจากโครงการจงรักภักดีของมัน ที่จะเข้าใจความต้อง

การของลูกค้า เทสโกสามารถขายสินค้าและบริการอย่่างมีประสิทธิภาพ

ผ่านทางช่องทางที่หลากหลายเทสโกดำเนินงานรูปแบบร้านที่แตกต่างกัน

– เอ็กซ์เพรส เมโทร เอ็กซ์ตรา – ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตก

ต่างกัน เทสโกได้รวมศูนย์การจัดซื้อ ที่จะบรรลุความประหยัดจากขนาด ในขณะที่ทำงานกับซัพพลายเออร์ท้องที่ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดเฉพาะด้วย เทสโกได้ใช้เทคโนโลยีอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะภาย

ในลูกโซ่อุปทานและการดำเนินงานออนไลน์ของมัน

ตามแนวคิดลูกโซ่คุณค่า ไมเคิล พอร์เตอร์ ไม่ได้มองที่แผนก หรือต้นทุนทุนทางบัญชี แต่ลูกโซ่คุณค่ามุ่งที่ระบบ ปัจจัยการผลิตได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นผลผลิตอย่างไร บริษัทของเราจะสร้างคุณค่าอย่างไร เราจะเปลี่ยน

แปลงปัจจัยการผลิตให้เป็นผลผลิต ด้วยวิถีทางที่มันมีคุณค่าสูงกว่าต้นทุนเริ่มแรกของการสร้างผลผลิตเหล่านี้อย่างไร มันไม่ได้เป็นคำถาม ที่จืดชืด มันเป็นเรื่องของความสำคัญรากฐานต่อบริษัท เพราะว่ามันจะแสดงเหตุผลทางเศรษฐกิจของทำไมบริษัทดำรงอยู่ภายในตอนแรก

ลูกโซ่คุณค่า เป็นแนวคิดการบริหารธุรกิจที่พัฒนาโดยไมเคิล พอร์เตอร์ ภายในหนังสือ Competitive Advantage 1985 ของเขา ไมเคิล พอร์เตอร์ ได้อธิบายการวิเคราะห์ลูกโซ่คุณค่าว่ การรวมกันของกิจกรรมที่ถูกกระทำโดยบริษัทที่จะสร้างคุณค่าต่อลูกค้าของพวกเขา การสร้างคุณค่าจะสร้างคุณค่าเพิ่มที่นำไปสู่ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ในที่สุดคุณค่าเพิ่มสร้างการทำกำไรที่สูงขึ้นแก่บริษัทด้วย

เพื่อการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน บริษัทจะต้องทำกิจกรรมสร้างคุณค่า ณ ต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน หรือทำกิจกรรมสร้างคุณค่า ด้วยการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันนั่นคือบริษัทจะต้องเลือกระหว่างกลยุทธ์ต้นทุนต่ำ หรือกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง ไมเคิล พอร์เตอร์ ได้แบ่งกิจกรรมสร้างคุณค่าเป็นกิจกรรมหลักและกิจกรรมสนับสนุนกิจกรรมหลัก

เกี่ยวพันกับการสร้างผลิตภัณฑ์ การตลาดของผลิตภัณฑ์ และการบริการลูกค้า กิจกรรมหลักมีห้าอย่างคือ การขนส่งขาเข้า การผลิต การขนส่งขาออก การตลาดและการขาย และการบริการ กิจกรรมสนับสนุนเกี่ยวพันกับการส่งเสริม การบริการ และการให้คำแนะนำแก่กิจกรรมพื้นฐาน กิจกรรมสนับสนุนมีสี่อย่างคือ โครงสร้างพื้นฐานของบริษัท การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาเทคโนโลยี และการจัดหา

ไมเคิล พอร์เตอร์ ได้กล่าวว่าข้อได้เปรียบทางการแข่งขันไม่สามารถเข้า

ใจได้ด้วยการมองบริษัททั้งหมด บริษัทเกิดขึ้นจากการทำกิจกรรม ที่แยกจากกันหลายอย่างตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การตลาด การจัดส่ง และการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ กิจกรรมเหล่านี้แต่ละอย่างสามารถมีส่วนช่วยต่อฐานะทางต้นทุนเทียบเคียงของบริษัท ที่สร้างรากฐานของการสร้างความแตกต่าง

*การขนส่งเข้า

การเคลื่อนที่ของวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ไปสู่การผลิตภายในโรงงาน การรับเข้ามา การเก็บรักษา และการกระจายวัตถุดิบ ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างเราและซัซพลายเออร์จะเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างคุณค่า

* การผลิต

การเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์จะถูกขายไปยังลูกค้า กระบวนการผลิตของเราจะสร้างคุณค่า

*การขนส่งขาออก

การจัดส่งผลิตภัณฑ์ไปสู่ลูกค้า การเก็บรักษา การกระจาย และการขน

ส่ง

*โครงสร้างพื้นฐาน

ระบบสนับสนุนการดำเนินงานประจำวันของบริษัท การบัญชี การเงิน กฏหมาย และการบริหารทั่วไป จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นที่บริษัทสามารถใช้สร้างคุณค่า

* การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การสรรหา การว่าจ้าง การฝึกอบรม การจ่ายค่าตอบแทนไปจนถึงการปลดบุคคลออกจากงาน บุคคลเป็นแหล่งที่มาสำคัญของการสร้างคุณค่าด้วยการบริหารทรัพยากรมนุษย์

*การตลาดและการขาย

การชักจูงลูกค้าให้ซื้้อผลิตภัณฑ์จากเราไม่ใช่คู่แข่งขันของเราประโยชน์ที่เราได้นำเสนอ และเราสื่อสารได้ดีแค่ไหน

*การบริการ

การรักษาคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของเราแก่ลูกค้าเมื่อได้ถูกซื้อไปแล้ว

*การจัดหา

การจัดซื้อวัตถุดิบที่ต้องใช้ เพื่อการผลิต การค้นหาซัพพลายเออร์ และเจรจาต่อรองราคาที่ดีที่สุด

*การพัฒนาทางเทคโนโลยี

การตามให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การรักษาความดีเด่นทางเทคโนโลยีไว้อย่างต่อเนื่องการป้องกันรากฐานความรู้ของบริษัทไว้

 

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *