INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

คำปราศัยของจักรพรรดิ์ : 80 ปีที่เเล้ว ฮิโรฮิโตได้ปฏิรูปญี่ปุ่นตลอดกาล

คำปราศัยของจักรพรรดิ์ : 80 ปีที่เเล้ว ฮิโรฮิโตได้ปฏิรูปญี่ปุ่นตลอดกาล

ไม่ถึงเดือนภายหลังการยอมแพ้ภายในสงครามโลกครั้งที่สอง จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตได้เขียนจดหมายถึงลูกชายคนโตของพระองค์กล่าวว่าพระองค์ยุติความขัดเเย้งที่จะรักษาเมล็ดพืชของชาวญี่ปุ่นไว้ ภายในการอ้างอิงที่ชัดเจนต่อการทิ้งระเบิดปรมาณูยูเอสต่อฮิโรชิมาและนางาซากิ ฮิโรฮิโตได้ตำหนิกองทัพจักรวรรดิ์ที่ไม่มีอยู่แล้วต่อการเน้นย้ำจิตวิญญานมากเกินไป และลืมความสำคัญของวิทยาศาสตร์ข้าพเจ้ากลืนน้ำตาของข้าพเจ้าต่อการสร้างความพยายามรักษาเมล็ดพืชของชาวญี่ปุ่น ถ้าสงครามดำเนินอยู่ต่อไป ชีสิตของชาวญี่ปุ่นจะต้องสูญเสียไปผู้นาทหารของเรามุ่งเน้นต่อจิตวิญญานการต่อสู้มากเกินไปเเละลืมความสำคัญของวิทยาศาสตร์ อธิบายทำไมพระองค์ต้องตัดสินใจยอมรับการยอมแพ้บุคคลของเราปะเมินพลังของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นสูงเกินไป และดูถูกอังกฤษและอเมริกา ระเบิดปรมาณูโจมตีฮิโรชิมา 6 สิงหาคม 1945 และนางาซากิสามวันต่อมา กระตุ้นให้ญี่ปุ่นยอมรับการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข และสิ้นสุดสงคราม ถ้าญี่ปุ่นทำสงครามต่อไป สมบัติศักดิ์สิทธิ์สามอย่าง กระจกดาบ และอัญมณีของจักรพรรดิ์ เป็นตราสัญลักษณ์ของราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ ไม่สามารถรักษาไว้ได้ และชีวิตของชาวญี่ปุ่นต้องสูญเสียไป อธิบายเหตุผลต่อการตัดสินใจยอมรับการยอมแพ้ของพระองค์ณ 6 สิงหาคม 1945 เวลาท้องที่เเปดโมงเช้าสิบห้านาที อเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ญี่ปุ่น สิบหกชั่วโมงต่อมาประธานาธิบดีอเมริกัน แฮร์รี ทรูแมนได้เรียกร้องอีกครั้งหนึ่งต่อการยอมแพ้ของญี่ปุ่น เตือนพวกเขาคาดหวังฝนแห่งความพินาศจากอากาศ ไม่เคยมองเห็นบนโลกนี้ต่อมาภายในตอนเย็นของ 8 สืงหาคม 1945 รัสเซียได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และภายหล้งไม่นานเที่ยงคืน 9 สิงหาคม 1945 รัสเซียได้บุกรัฐแมนชูกัวหุ่นเชิดของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ต่อมาไม่นานอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองบนนาซากิ ด้วยเหตุการณ์ทุกอย่างเหล่านี้ จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต ได้แทรกแซงและออกคำสั่งสภาบัญชาการทหารสูงสุดยอมรับเงื่อนไขที่พันธมิตรได้กำหนดไว้ภายในคำประกาศพอตส์ดัมเพื่อการสิ้นสุดสงคราม จักรพรรดิ์ ฮิโรฮิโตให้การปราศัยทางวิทยุบันทึกทั่วจักรวรรดิ์ 15 สิงหาคม ประกาศกการยอมแพ้ของญี่ปุ่นต่อพันธมิตร เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการออกอากาศวิทยุการประกาศของจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตต่อชาวญี่ปุ่นว่ารัฐบาลของพวกเขาได้ยอมรับการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขภายในสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐประหารได้เกิดขึ้นด้วยความมุ่งหมายเดียวการขโมยบันทึกเสียงและหยุดการออกอากาศไม่ว่าอย่างไรก็ตามอุบัติการณ์คิวโจ เป็นความพยายามรัฐประหารของทหารภายในจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ณ ตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง มันได้เกิดขึ้นคืนที่ 14-15 สิงหาคม 1945 เพียงแค่ก่อนการประกาศของการยอมแพ้ของญี่ปุ่นต่อสัมพันธมิตร รัฐประหารเป็นความพยายามโดยสำนักเสนาธิการของกระทรวงสมครามของญี่ปุ่น และทหารรักษาพระองค์หลายคนหยุดการยอมแพ้ พันตรีเคนจิ ฮาตานกะ เป็นผู้นำรัฐประหารพวกเขาได้จู่โจมพระราชวังอิมพีเรียลด้วยความพยายามทำลายการบันทึกหีบเสียงของคำปราศัยการยอมแพ้ของจักรพรรดิ์ก่อนที่มันจะถูกออกอากาศ เคนจิ ฮาตานากะรู้ดีว่าพวกเขาได้ละเมิดคำสั่งจักรพรรดิ์โดยตรงแต่พวกเขาอ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันจักรพรรดิ์เหนือสิ่งอื่นใดไม่ใช่ตัวจักรพรรดิ์เคนจิ ฮาตานากะได้ฆ่าทาเกชิ โมริ นายพลแห่งกองรักษาพระองค์ที่ได้พยายามต่อต้านการรัฐประหาร และพยายามได้ปลอมคำสั่งจนทำให้พวกเขาสามารถยึดครองพระราชวังอิมพีเรียลได้ กักขังจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตะไว้ภายในพระราชวัง และได้ตัดระบบการสื่อสารภายนอก เมื่อเข้ามาภายในพระราชวัง พวกเขาไม่สามารถค้นหาบันทึกหีบเสียงภายในพระราชวังที่ซับซ้อนได้ ในขณะที่พวกเขาวิ่งไปรอบค้นหามัน นายพลซิชูอิจิ ทานากะผู้บัญชาการกองทัพภาคบูรพา ระดมทหารรักษาพระองค์และปราบกบฏได้สำเร็จ เเละสั่งให้คณะรัฐประหารคว้านท้อง รับผิดชอบต่อการกระทำตอนเที่ยง 15 สิงหาคม 1945 ชาวญี่ปุ่น ได้หยุดอะไรก็ตามที่พวกเขากำลังทำอยู่ ฟังเสียงเกือบจะไม่มีใครเลยของพวกเขาเคยได้ยินมาก่อนแต่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่พวกเขาคิดและทำงานเพื่อทุกวันของชีวิตของพวกเขา ต่อชาวญี่ปุ่นจำนวนมากแล้ว มันเหมือนกับการรับฟังโดยตรงจากเสียงของพระเจ้า และเขากำลังบอกชาวญี่ปุ่นให้ยอมแพ้ต่อจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตของญี่ปุน ไม่เคยใช้ถ้อยคำยอมแพ้ภายในการออกอากาศสี่นาทีสามสิบหกวินาทีอย่างน่าทึ่งนี้ และเเม้ว่าพระองค์ใช้รูปแบบเก่าแก่ของภาษาญี่ปุ่นที่บุคคลธรรมดาไม่กี่คนสามารถเข้าใจอย่างชัดเจนในไม่ช้ามันได้กลายเป็นรู้กันทั่วจักวรรดิ์ของญี่ปุ่นว่าสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงแล้วในขณะนี้ และพวกเขาได้พ่ายแพ้อย่างชัดเจนภาษาของคำปราศัยเป็นทางการที่เหมาะสมต่อจักรพรรดิ์ ดังนั้นมันไม่ได้เป็นภาษาญี่ปุ่นทุกวันที่คุ้นเคยต่อประชาชน ยิ่งกว่านั้นการเลือกถ้อยคำจะคลุมเคริอ ถ้อยคำ ยอมแพ้ ไม่ได้ปรากฏ แต่จักรพรรดิ์ได้บอกกล่าวเรื่องของพระองค์ที่ญี่ปุนต้องปูทางเพื่อสันคิภาพที่ยิ่งใหญ่….. ด้วยความอดทนต่อความอดทนที่อดทนได้ยากและทรมานกับอะไรที่ทรมานได้ยากการออกอากาศได้กระทำตอนเที่ย่ง 15 สิงหาคม และประชาชนได้ถูกบอกล่วงหน้ารับฟังต่อมัน เรามีการคาดหวังอย่างมากเกี่ยวกับจักรพรรดิ์จะพูดอะไร และความสนใจอย่างมาก เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกที่ชาวญี่ปุ่นจะเคยได้ยินเสียงของพระองค์ ลักษณะที่ไมเคยมีมาก่อนของการออกอากาศชี้ว่าอะไรก็ตามที่กล่าวต้องสำคัญที่สุด แต่กระนั้นความคลุมเครือและความเป็นทางการของภาษารวมกับคุณภาพของเสียงค่อนข้างจะไม่ดีของการออกอากาศ การปล่อยให้ผู้ฟังหลายคนสับสนเกี่ยวกับความหมายของคำปราศัยการยอมแพ้ของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นภายในสงครามโลกครั้งที่สองได้ถูกประกาศโดยจักรพรรดิ์ ฮิโรฮิโต เมื่อ 15 สิงหาคม แก่ชาวญี่ปุ่นของเขารู้จักกันเป็น “Jewel Voice Broadcast” หรือ “เกียวกุองโฮโซ” นี่เป็นครั้งแรกจักรพรรดิ์ได้เคยปราศัยต่อชาติโดยวิทยุมันได้ถูกให้เป็นภาษาญี่ปุนคลาสสิคเป็นทางการ จักรพรรด์ไม่เคยใช้ถ้อยคำยอมแพ้ และอ้างเหตุผลการรุกรานเริ่มแรกของญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันได้สนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุขของโลก พระองค์ได้กล่าวถึงระเบิดใหม่และร้ายแรงที่สุด อ้างเป็นเหตุผลเพื่อการยอมแพ้คำปราศัยนี้ได้ถูกออกอากาศโดยตรงจากการบันทึกหีบเสียง มันได้ถูกออกอากาศตอนเที่ยง ตามเวลามาตรฐานญี่ปุ่น ภายหลังการสู้รบของโอกินาวา การทิ้งระเบิดปรมาณู และการประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นโดยรัสเซียระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นคณาธิปไตยของทหารโดยพื้นฐาน มันประกอบด้วยส่วนประกอบสามส่วน จักพรรดิ์ มองเป็นพระเจ้า นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งโดยจักรพรรดิ์ และคณะรัฐมนตรี ส่วนหนี่งเลือกโดยเขา และส่วนหนึ่งโดยผู้ดำรงตำแหน่งอยู่ สภาบัญชาการทหารสูงสุด เรียกกันว่า “บิ้กซิกซ์ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงทหารบกรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือ ผู้บัญชาการเสนาธิการทหารบก และผู้บัญชาการเสนาธิการทหารเรือทหารญี่ปุ่นหลายคนคัดค้านอย่างรุนแรงต่อความคิดที่จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตกำลังสิ้นสุดสงคราม เมื่อพวกเขาเชื่อว่ามันเสียเกียรติภูมิ ผลตามมาทหารมากถึงหนึ่งพันคนพยายามจะจู่โจมพระราชวังอิมพีเรียลตอนเย็น 14 สิงหาคม ทำลายการบันทึกเสียง การบันทึกเสียงได้ถูกลักลอบออกจากพระราชวังภายในตะกร้าซักผ้าได้สำเร็จ และได้ออกอากาศวันต่อมา แม้ว่าด้วยความพยายามอีกครั้งหนึ่งหยุดมันจากการเล่น ณ สถานีวิทยุโคเรชิกะ อานามิ รัฐมนตรีสงครามของญี่ปุ่น ได้ฆ่าตัวตายเมื่อ 15 สิงหาคม 1945 ภายหลังการยอมแพ้ได้ถูกประกาศโคเรชิกะ อนามิ ต้องการต่อสู้อยู่ต่อไปแม้ว่าภายหลังการโจมตีนิวเคลียร์ ความเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นสามารถยังคงทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างมากมายต่อการบุกใดก็ตาม ดังนั้นมันบังคับให้พันธมิตรนำเสนอเงื่อนไขที่ดีขึ้น ญี่ปุ่นไม่ได้แพ้สงคราม เนื่องจากเราไม่ได้สูญเสียอาณาเขตบ้านเกิดใดก็ตาม ผมคัดค้านที่จะดำเนินการเจรจาต่อรองบนสมมุติฐานที่เราแพ้ แม้ว่าเราอาจจะต้องกินหญ้า กลืนฝุ่น และนอนบนทุ่งนา เราจะต่อสู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม มั่นคงต่อศรัืธาที่เราจะพบภายในความตายแม้ว่าโตเกียวได้สื่อสารแล้วต่อพันธมิตรการยอมรับของเงื่อนไขยอมแพ้ของการประชุมพอตส์ดัมหลายวันก่อนหน้านี้ และการประกาศข่าวญี่ปุนได้เกิดขึ้นแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังคงรอที่จะได้ยินเสียงที่เชื่อถือได้พูดสิ่งที่พูดไม่ออก ญี่ปุนได้พ่ายแพ้เสียงนั้นเป็นของจักรพรรดิ์ เสียงนั้นได้ยินทางคลื่นวิทยุเป็นครั้งแรกสารภาพว่าศัตรูของญี่ปุ่นได้เริ่มต้นใช้ระเบิดโหดร้ายที่สุด พลังทำลายไม่สามารถคำนวณได้ การสูญเสียชีวิตที่บริสุทธิ์จำนวนมาก มันเป็นเหตุผลที่ให้ต่อการยอมแพ้ของญี่ปุ่น ความทรงจำทางวาจาของฮิโรฮิโต พิมพ์และเเปลภายหลังสงคราม หลักฐานความกลัวของจักรพรรดิ์ ณ เวลานั้น เชื่อชาติญี่ปุ่นจะถูกทำลายถ้าสงครามยังคงมีอยู่ต่อไปจุดหนักที่สุดภายในเงื่อนไขการยอมแพ้ของญี่ปุ่นเป็นสถานภาพของฮิโรฮิโตเป็นจักรพรรดิ์ โตเกียวต้องการสถานภาพของจักรพรรดิ์ถูกคุ้มครอง พันธมิตรต้องการไม่มีเงื่อนไขมาก่อน มันมีการประนีประนอมจักรพรรดิ์รักษาเชื่อตำแหน่งของเขาไว้ นายพลดักกลาส แมคอาร์เธอร์เชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดการมีอยู่ของพิธีการทำให้อิทธิพลมั่นคงขึ้นภายในญี่ปุ่นหลังสงคราม แต่ฮิโรฮิโตถูกบังคับให้ละทิ้งสถานภาพพระเจ้า ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพระเจ้าภายหลังใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งแนวโน้มโดยทั่วไปของโลกและสภาพแท้จริงของจักรวรรดิ์ของเราวันนี้ เราได้ตัดสินใจแก้ปัญหาของสถานการณ์ปัจจุบันด้วยการใช้วิธีการที่ผิดธรรมดาเราได้สั่งการรัฐบาลของเราสื่อสารรัฐบาลอเมริกา อังกฤษ จีน และรัสเซียว่าจักรวรรดิ์ของเรายอมรับบทบัญญัติของการประกาศร่วมกันของพวกเขาเพื่อความมุ่มมั่นต่อความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุขโดยทวไปของทุกประเทศ และความมั่นคงเเละความเป็นอยู่ที่ดีเป็นข้อผูกพันที่จริงจังถ่ายทอดมาโดยบรรพบุรุษจักวรรดิ์ของเรา และเราได้วางไว้ใกล้หัวใจ เราประกาศสงครามกับอเมริกาและอังกฤษจากความต้องการที่จริงใจของเรา เพื่อที่จะมั่นใจการรักษาตัวเองของญี่ปุน และความมั่นคงของเอเชียตะวันออก”Japan’s Longest Day” เป็นภาพยนตร์สงครามยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นกำกับโดยคิฮาชิ โอคาโมโต เรื่องราวส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เป็นช่วงเวลาระหว่าง ตอนเที่ยง 14 สิงหาคม 1945 และตอนเที่ยง 15 1945 เมื่อ จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต ตัดสินใจยอมแพ้แก่พันธมิตรภายในสงครามโลกครั้งที่สองถูกออกอากาศต่อชาวญี่ปุ่น และความพยายามทำรัฐประหารขัดขวางการเกิดขึ้นนั้น นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ โจเซฟ แอนเดอร์สันได้อธิบายภาพยนตร์เป็นการสร้างใหม่อย่างพิถีพิถันของวันที่ญี่ปุ่นยอมแพ้และสิ้นสุดสงครามแปซิฟิค

ตามมาการทิ้งระเบิดปรมาณูบนฮิโรชิมาและนางาซากิ ทหารญี่ปุ่นเเละรัฐบาลขัดแย้งกันต่อการเรียกร้องจากพันธมิตรเพื่อการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข รัฐมนตรีต่างประเทศ ชิเกโนริ โตโก เชื่อว่าชาวญี่ปุ่นควรจะรับการยอมแพ้ ชาวญี่ป่นกำลังอดอยากอย่างมาก เมืองญี่ปุ่นถูกทำลายด้วยระเบิดปรมาณู และการบุกของอเมริกากำลังปรากฏขึ้น แต่รัฐมนตรีกระทรวงสงคราม โคเรชิกะ อนามิ นำนายทหารเสนอการต่อสู้แม้ว่าชาวญี่ปุ่นทุกคนต้องเสียชีวิต เขาเชื่อวาเพื่อเกียรติภูมิของชาติและทหาร ญี่ปุ่นต้องต่อสู้จนนาทีสุดท้าย นายกรัฐมนตรี คันทาโร ซูซูกิ ได้เลือกที่จะรอเหตุการณ์ แต่กระนั้นจักรพรรดิ์ ฮิโรฮิโต ร่วมกับรัฐมนตรีของเขาต่อการถามที่คิดไม่ถึง การยอมแพ้อย่างสันติของญี่ปุ่นเมื่อทหารวางแผนรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเรือนของจักรพรรดิ์ โคเรชิกะโคเรชิกะ อนามิต้องเผชิญการเลือกระหว่างความต้องการของเขาและความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ์ของเขาในฐานะของรัฐมนตรีสงคราม โคเรนชิกะ อนามิ พบตัวเขาเองภายในตำแหน่งที่ล่อเเหลมสถานการณ์ทางทหารของญี่ปุ่นลำบากมาก ด้วยการสูญเสียอย่างหนักภายในสนามรบ และการทิ้งระเบิดของอเมริกาทำลายเมืองเเละอุตสาหกรรม ทั้งที่เป็นความเป็นจริงอย่างร้ายเเรง โคเรชิกะอนามิได้คัดค้านอย่างหนักหน่วงต่อการย้อมแพ้ เขาเชื่อว่าญี่ปุ่นควรจะต่อสู้ต่อไป แม้แต่ภายหลังการทิ้งระเบิดปรมาณูฮิโรชิมาและนางาซากิความผูกพันของโคเรนชิกะ อนามิต่อสิ่งที่เขารับรู้เป็นเกียรติภูมิของญี่ปุ่นจะเเน่วแน่ เขาได้เสนอแนะการต่อสู้ขนาดใหญ่บนแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นคาดหวังสร้างความเจ็บปวดของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างมากมายต่อพันธมิตรที่ญี่ปุ่นอาจจะหลีกเลี่ยงการยอมแพ้ และรักษาอาณาเขตยืดครองบางแห่งไว้ได้ในที่สุดการคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวของโคเรนชิกะ อนามิต่อการยอมแพ้ได้ถูกยกเลิกโดยคำสั่งสิ้นสุดสงครามของจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต ภายในการแสดงความจงรักภักดีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง โคเรนชิกะ อนามิได้เลือกที่จะเชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิ์ การตัดสินใจของเขาแสดงบทบาทหัวเลี้ยวหัวต่อภายในการป้องกันรัฐประหารของทหาร ขัดขวางการประกาศการยอมแพ้รู้จักกันเป็นอุบัติการณ์คิวโจเมื่อ 14 สิงหาคม 1945 โคเรนชิกะ อนามื ได้ลงนามเอกสารการยอมแพ้ด้วยคณะรัฐมนตรี วันรุ่งเช้าต่อมา เขาได้ฮาราคิริ คว้านท้องตามประเพณีการฆ่าตัวตายของชาวญี่ปุนการฆ่าตัวตายของเขา โคเรนชิกะอนามิ ได้แสดงความสำนึกผิดของเขาต่ออาชญกรรมที่ยิ่งใหญ่ มรดกของโคเรนชิกะ อนามิเป็นความจงรักภักดีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และการทุ่มเทต่อประเทศของเขาภายในการเผขิญความเป็นไปได้น้อยที่จะชนะ ความผูกพันของเขาต่อเกียรติภูมิและหน้าที่และความเต็มใจของเขาทำการเสียสละอย่างเเท้จริง เป็นพินัยกรรมต่อความซับซ้อนของการตัดสินใจยามสงคราม และกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางศีลธรรมเผชิญโดยบุคคลระหว่างเวลาที่วุ่นวายก่อนเที่ยงคืนไม่นาน จักรพรรดิ์ ฮิโรฮิโต ด้วยตาที่เศร้าและอ่อนเพลียเดินเข้ามาสู่หลุมหลบภัยการโจมตีทางอากาศร้อนชื้น 60 ฟุต ข้างล่างห้องสมุดอิมพีเรียล ตรงที่คณะรัฐมนตรี 11 คนรวมกันอยู่ เขานั่งบนเก้าอี้พนักพิงตรง และใส่เครื่องแบบจอมพลไม่พอดี เพราะว่าช่างตัดเสื้อไม่ถูกให้ยอมสัมผัสชายคนที่เคารพนับถือเป็นพระเจ้าฮิโรฮิโต รับฟังอย่างอดทนเมื่อสมาชิกแต่ละคนของคณะรัฐมนตรีนำเสนอการโต้แย้งของเขา นายกรัฐมนตรี คันทาโร ซูซิกิ ได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดเคยทำ เขาได้ขอฮิโรฮิโตต่อคำสั่งจักรพรรดิ์ ด้วยคำพูดที่อ่อนโยน ฮิโรฮิโตกล่าวว่า :ข้าพเจ้าได้คิดอย่างจริงจังต่อสถานการณ์เป็นจริงอยู่ ณ ที่บ้านและต่างประเทศ และข้าพเจ้าได้สรุปว่า การทำสงครามอยู่ต่อไปสามารถหมายถึงการทำลายต่อชาติเท่านั้น และการต่ออกไปของการนองเลือดและความโหดร้ายภายในโลก ข้าพเจ้าไม่สามารถแบกรับมองเห็นบุคคลที่บริสุทธิ์ของข้าพเจ้าทรมานได้ต่อไปอีกเเล้ว การสิ้นสุดสงครามเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาสันติภาพโลก และปลดปล่อยชาติจากความทุกข์ที่เลวร้าย เวลาได้มาถึงเมื่อเราต้องแบกรับไม่สามารถทนได้ ข้าพเจ้ากลืนน้ำตาของข้าพเจ้าและให้การอนุมัติของข้าพเจ้าต่อข้อเสนอที่จะยอมรับคำประกาศของพันธมิตร พระองค์ร้องขอประชาชนอดทนต่อไม่สามารถอดทนได้ และเตรียมตัวต่ออะไรก็ตามอาจจะเข้ามา

ญี่ปุนได้ยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข และลงนามสัญญายอมแพ้บนเรือรบมิตซูรี นายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิค ได้กลายเป็นผู้ยึดครองญี่ปุ่นนับแต่นั้นมาญี่ปุ่นต้องยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่สองต่ออเมริกาในที่สุด ภายหลังจากที่อเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรามาณู ณ ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุนได้ถูกทำลายล้างจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ภายหลังจากนั้นญี่ปุนได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอเมริกา ระหว่าง ค.ศ 1946 และ ค.ศ 1952 นายพลดักกลาสแมคอาเธอร์ เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของการกองกำลังยึดครองญี่ปุ่น ญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวจากความบาดเจ็บจากสงครามโลก และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดลำดับสองของโลกตามหลังอเมริกาเมื่อ ค.ศ 1960 จนถูกเรียกกันว่า ความอัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น หมายถึงการเจริญเติบโตอย่างสำคัญภายในเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ระหว่างเวลาสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและสิ้นสุดสงครามเย็นแฮร์รี่ ทรูแมน ที่ยึดมั่นกับ “The Buck Stop Here” ความรับผิดชอบสิ้นสุดที่นี่ จะไม่ยอมจำนน ภายในสี่เดือนของการเป็นประธานาธิบดี เขาได้มีการตัดสินใจยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์ได้เคยกระทำมาคือ การสั่งการให้ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อที่จะยุติสงครามโลกครั้งที่สอง ตามบันทึกเขาได้เขียนว่า ขณะนั้นเขากลัวว่าเขาอาจจะทำให้เกิดการสิ้นสุดของโลกใบนี้ ภายหลังจากนั้นไม่นานญี่ปุนได้ยอมแพ้สงคราม แฮร์รี่ ทรูแมน ได้กล่าวด้วยคำพูดตัวเองว่า ผมได้ค้นพบว่าการเป็นประธานาธิบดีคือ การขี่หลังเสือ บุคคลที่เลิกขี่ย่อมจะถูกเสือกลืนแฮร์รี่ ทรูแมน ได้กล่าวว่า ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร เมื่อผมได้ยุติสงครามด้วยระเบิดปรมาณู ผมไม่มีความเสียใจ และภายในสถานการณ์อย่างเดียวกัน ผมจะทำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเราไม่สามารถทนความร้อนได้ ออกไปจากจากห้องครัวเลย

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะสิ้นสุดลง ประธานาธิบดี แฟรงคลินได้เก็บรองประธานาธิบดีของเขาภายในความมืดเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูภายหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดี แฟรงคลิน รูสเวลต์เมื่อ ค.ศ 1945 ประธานาธิบดีคนต่อมาคือ แฮรี ทรูแมน เขาต้องทำการตัดสินใจจบสงครามกับญี่ปุ่นอย่างไรลีโอ ซีลาร์ด นักฟิซิกส์คนหนึ่งที่ได้พัฒนาระเบิดปรมาณู พยายามพบแฮร์รี ทรูแมน ยืนยันต่อการไม่ใช้มัน คำร้องของลีโอ ซิลาร์ดร่างและหมุนเวียนท่ามกลางเพื่อนร่วมงานโครงการแมนฮัตตันโดยลีโอ ซีลาร์ด เมื่อ ค.ศ 1945 ลงนามโดยนักวิทยาศาสตร์ 70 คนทำงานกับโครงการแมนฮัตตัน มันได้ขอให้ประธานาธิบดี แฮรร์รี ทรูแมน อย่าใช้ระเบิดปรมาณูต่อญี่ปุนโดยไม่ให้โอกาสญี่ปุ่นที่จะยอมแพ้ก่อน บอกกล่าวญี่ปุ่นถึงเงื่อนไขของการยอมแพ้ต้องการโดยพันธมิตร การอ้อนวอนเขาพิจารณาใหม่การทิ้งระเบิดปรมาณูที่พวกเขาได้ช่วยสร้าง ในขณะที่ระเบิดปรมาณูน่าจะทำให้สงครามสิ้นสุดลง พวกเขารู้สึกว่าการโจมตีญี่ปุ่นนั้นไม่สมเหตุผล จนกว่าญี่ปุ่นได้ถูกบอกกล่าวเกี่ยวกับอาวุธและให้โอกาสที่จะยอมแพ้และยอมให็ญี่ปุ่นยอมรับหรือปฏิเสธเงื่อนไขเหล่านี้ ก่อนที่อเมริกาใช้อาวุธ ปรมาณู แต่กระนั้นคำร้องไม่เคยผ่านสายการบังคับบัญชาสู่แฮร์รี่ ทรูแมน แฮร์รี ทรูเเมนไม่ได้มองเห็นคำร้องก่อนที่เขาออกคำสั่งให้ทิ้งระเบิดปรมาณู ลีโอ ซีลาร์ดได้ขอเพื่อการอนุญาติทำให้คำร้องเป็นสาธารณะเมื่อ ค.ศ 1945 แต่มันไม่ได้ถูกปลดจากการเป็นเอกสารลับอยู่หลายปีความคิดของการบุกญี่ปุ่นทำให้แฮร์รี ทรูแมนและที่ปรึกษาของเขาหยุดและพิจารณา สงครามได้แสดงว่าชาวญี่ปุ่นต่อสู้เพื่อจักรพรรดิ์ ชักจูงพวกเขาเสียชีวิตดีกว่ายอมแพ้ ผู้หญิงและเด็กถูกสอนให้ฆ่าด้วยอาวุธพื้นฐานอย่างไร นักบินกามิกาเซ่ญี่ปุ่นพลิกผันให้เครื่องบินเป็นจรวด ต้นทุนของการบุกสูงมาก การรบที่สำคัญครั้งสุดท้าย การต่อสู้เพื่อโอกินาวา ยาวนานเกือบสามเดือน ชาวญี่ปุ่นและชาวอเมริกันเสียชีวตมากกว่า 100,000 คน แฮรี ทรูแมนได้เรียนรู้โครงการเเมนฮัตตัน ความลับของความพยายามทางวิทยาศาสตร์สร้างระเบิดปรามาณู ภายหลังการทดสอบอาวุธได้บรรลุความเร็จแฮรี ทรูแมน ต้องทำการตัดสินใจสำคัญที่สุดภายในประว้ติศาสตร์ เมื่อสงครามกับญี่ปุ่นมาถึงระยะเวลาสุดท้าย ทรูแมนได้ออกประกาศแห่งพอตสแดม เรียกร้องการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขของรัฐบาลญี่ปุ่น การเตือนถึงการทำลายอย่างทันทีและเด็ดขาด สิบเอ็ดวันต่อมา วันที่ 6 สิงหาคม 1945 ไม่ได้รับการตอบ เครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกันชื่อ อีโนลา เกย์ บินจากเกาะทิเนียน บนเส้นทางมุ่งหน้าไปญี่ปุ่น ภายในท้องของเครื่องบินทิ้งระเบิดเป็น “ลิตเติ้ล บอย” ระเบิดปรมาณู ณ ตอนเช้า 8.15 เวลาฮิโรชิมา ลิตเติ้ล บอย ถูกทิ้งลงมา ผลลัพธ์ชาวญี่ปุนประมาณ 80,000 คนเสียชีวิตภายในไม่กี่วินาทีแรก ชาวญี่ปุนหลายพันคนเสียชีวิตต่อมาจากความเจ็บป่วยด้วยรังสี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดอีกลำหนึ่งบนเส้นทางมุ่งหน้าไปสู่นางาซากิด้วย “แฟท แมน” ระเบิดปรมาณูอีกลูกหนึ่ง ภายหลังนาทีแรกของการทิ้งแฟท แมน ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก 39,000 เสียชีวิต 25,000 คนบาดเจ็บ ทั้งสองเมืองพังทลายจากระเบิดปรมาณู บังคับให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้สงครามแก่อเมริกา สงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงในที่สุด

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *