INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

อิสตันบูล และบูร์ซา

จรัญ มะลูลีม

หลังจากไปอยู่อินโดนีเซียมา 3 วัน (2-4 เมษายน) วันที่ 14-19 เดือนเดียวกันผมก็ได้มีโอกาสเดินทางไปนครอิสตันบูลเมืองท่องเที่ยวสำคัญและเมืองบูร์ซา ซึ่งเป็นเมืองเอกของอาณาจักรออตโตมาน

การเดินทางครั้งนี้ผมและดร.อาณัส อมาตยกุล ได้รับเชิญจากบริษัทสยามคอร์เนอร์  ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ของคนคุ้นเคย (พิรินทร์ จันทร์ไทย) ให้มาในฐานะผู้บรรยายโลกทัศน์ของตุรกีในหลากหลายแง่มุมให้กับน้องๆ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำโดย รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์ที่มีส่วนสำคัญในการบุกเบิกกิจการฮาลาลคนสำคัญของไทย    และเป็นศูนย์ที่โลกมุสลิมรู้จักและมีชื่อเสียงจนมีผู้เดินทางมาดูงานที่ศูนย์นี้ตลอดเวลา    ซึ่งเรื่องราวของศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจะได้มีการกล่าวถึงโดยละเอียดต่อไป

ตุรกีวันนี้

พื้นที่ของตุรกีอยู่ในเอเชียถึงร้อยละ 97 และส่วนที่อยู่ในยุโรป (ตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป) มีเพียงร้อยละ 3 หากดูภูมิศาสตร์ของตุรกีก็จะพบว่ามีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง   เนื่องจากทิศเหนืออยู่ติดกับทะเลดำ  ทิศใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและไซปรัส

ทิศตะวันออกติดอาร์เมเนีย  อาเซอใบญานและอิหร่านในขณะที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้  ติดอิรักและซีเรียในขณะที่ทิศตะวันตกติดทะเลเอเจียนและกรีซ  โดยทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับบัลเกเรีย

ผมไปตุรกีหลายครั้งและพบว่าอังการาเมืองหลวงของประเทศยังคงมีลักษณะของการเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครองของตุรกีอยู่ไม่เสื่อมคลาย   มีความเป็นระเบียบวินัยสะอาดและสงบ  เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ มีประชากรเกือบๆ จะครบ 5 ล้านคน

อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของตุรกีกลับไปอยู่ที่นครอิสตันบูลหรือในชื่อเดิมว่าคอนสแตนดิชโนเปิล  ซึ่งแม้จะมีผู้คนอยู่รวมกันไม่น้อยกว่า 13 ล้านคน   บางรายงานบอกว่าประชากรในนครอิสตันบูลน่าจะมีถึง 20 ล้านคนไปแล้ว   คนจากทั่วสารทิศจะแห่กันมาที่นครแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้

พระราชวังโดลมาบาเช่ (Dolmabache Palace) ของอาณาจักรออตโตมาน ที่ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 12 ปี ตามแบบศิลปะของยุโรปตะวันออกที่เด่นตระหง่านเหนือช่องแคบบอสฟอรัสคือเสน่ห์ของอิสตันบูล    นอกเหนือไปจากมัสญิดที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง

ในทางประวัติศาสตร์ตุรกีก็เป็นดินแดนที่มีความเก่าแก่  อารยธรรมของชาวฮิตไตด์ (1600-1200 ปีก่อนคริสตกาล)  เป็นประวัติศาสตร์ที่ไดรับการกล่าวถึงอยู่เสมอ   สำหรับเมืองสำคัญอย่างเมืองทรอยที่กวีโฮเมอร์มักจะกล่าวถึงอยู่เสมอก็ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของตุรกี

การที่อิสตันบูลเป็นเมืองหลวงเก่าของออตโตมานหรืออุษมานียะฮ์มาก่อน   ร่องรอยของประวัติศาสตร์และความเจริญจึงมารวมกันอยู่ที่นี่    โดยเฉพาะศิลปะวัตถุจากโลกมุสลิมที่ส่วนใหญ่อยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรออตโตมานมาก่อน

ศ.ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์  จากคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์  ได้กล่าวถึงความเหมือนของประวัติศาสตร์ตุรกีกับประวัติศาสตร์ไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจสรุปได้ว่า   ทั้งสองชาติอพยพมาจากถิ่นอื่น   จากนั้นจึงได้มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่มีอารยธรรมอื่นอยู่แล้ว ชาวเตอร์กมีอยู่หลายสายไม่ว่าจะเป็นพวกที่อยู่ในอดีตสหภาพโซเวียตอย่างชาวเตอร์กมินิสถาน   สายที่เข้าไปอยู่ในดินแดนอัฟกานิสถาน   และสายของอุษมานซึ่งปัจจุบันเป็นตุรกี

ทั้งตุรกีและไทยต่างก็แพ้สงครามโลกมาด้วยกัน  อาณาจักรออตโตมานประสบความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1  ส่วนไทยแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทั้งสองประเทศก็ไม่ได้สูญเสียเอกราช  ไทยมีขบวนการเสรีไทยที่ได้รับการยอมรับจากผู้ชนะสงครามว่าเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมของไทย   ทั้งสองประเทศยอมเสียดินแดนบางส่วนให้จักรวรรดินิยมแต่ยังคงรักษาเอกราชไว้ได้

ประเทศทั้งสองต่างก็ผ่านการปฏิรูปมาแล้วในเวลาใกล้เคียงกัน  ตุรกีปฏิรูปครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1839 ไทยมีการปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 4 (ค.ศ.1851)

ตุรกีและไทยต่างก็เป็นศูนย์กลางดั่งเดิมของการถ่ายทอดความรู้  โดยผ่านสถาบันศาสนาและวัง  มีอุปนิสัยเป็นมิตร  เอื้อเฟื้อและต่อต้านชาติที่เข้ามาในดินแดนของตนเอง  นิยมการเป็นข้าราชการและทหาร  ไม่สนใจการค้าขาย    อย่างไรก็ตามค่านิยมนี้มาเปลี่ยนแปลงในภายหลัง    มีดินแดนบางส่วนติดต่อกับประเทศคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยม    ในกรณีของไทยก็อยู่ชิดใกล้กับกัมพูชา ลาว พม่า ผูกมิตรกับประเทศเสรีนิยมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์

ตุรกีมีพวกยังเตอร์ก (Young Turks) ซึ่งเป็นนายทหารหนุ่ม  หัวปฏิวัติที่ยึดอำนาจจากสุลต่าน (สุลฏอน) อับดุลฮามิดที่ II (Abdul Hamid II) ได้สำเร็จ    ในขณะที่นายทหารหนุ่มของไทยก็พยายามทำการปฏิวัติในทำนองเดียวกัน  พวกเขาจึงได้รับสมญาว่ายังเตอร์ก (อ่านรายละเอียดของเรื่องนี้ใน ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, ผลการปฏิรูปประเทศสมัยอตาเตอร์กต่อประเทศตุรกีปัจจุบัน, โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2532, หน้า 1-2)

ในหนังสือโอกาสไทย เชื่อมโยง ยูเรเซีย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโครงการติดตามพัฒนาการของรัสเซียและยุโรปตะวันออก  กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2557) จิตติภัทร  พูนขำ ได้กล่าวถึงความสำคัญของตุรกีเอาไว้อย่างละเอียด  ซึ่งผมขอยกบางประเด็นมากล่าวถึงดังนี้

ตุรกีมีจำนวนประชากรประมาณ 72 ล้านคน (ในปี 2012) โดยประชากรส่วนใหญ่ของตุกรีมีเชื้อสายเตอร์กิซ   ซึ่งมีอยู่ประมาณ 50-58 ล้านคน  ชนชาติอื่นๆ ที่สำคัญได้แก่ ชาวเคิร์ด, เซอร์ซาสเซียน, ซาซา บอสเนีย, จอร์เจีย, อัลเบเนีย, โรมา (ยิปซี) , อาหรับและอีก 3 ชนชาติที่ได้รับการยอมรับจากทางการ ได้แก่  พวกกรีก, อาร์เมเนีย และยิวในบรรดาชนชาติเหล่านี้ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวเคิร์ด (ประมาณ 12.5 ล้านคน) ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

ศาสนา ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือเป็นคริสต์ นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ (73,725 คน) คริสต์นิกายจอร์เจียนออร์โธดอกซ์ (69,526 คน) คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (25,833 คน) คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (22,983 คน) และยิว (38,267 คน)

ตุกรีเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศหลายองค์การ ได้แก่ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 องค์การการค้าโลก (WTO) ในปี ค.ศ. 1995 เป็นต้น  และอยู่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU)

ความเติบโตของตุรกีและความสัมพันธ์ตุรกี-ไทย

ในวันที่ 23 ธันวาคม 2556 โครงการติดตามพัฒนาการของรัสเซียและยุโรปตะวันออกได้จัดเสวนาระดมความคิดเห็นระหว่างผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศกับหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชนและภาควิชาการ  เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับศักยภาพ โอกาสและแนวโน้มของประเทศตุรกี  เพื่อเสนอแนะแนวทางการกำหนดแนวทางดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต่อประเทศตุรกี    ในการเสวนาครั้งนี้มีอาจารย์จิตติภัทร พูนขำ อาจารย์ประจำสาขาการระหว่างประเทศ ม.ธรรมศาสตร์  หัวหน้าโครงการ Russia/Eastern Europe Watch ท่านทูตรัฐกิจ มานะทัต  อดีตเอกอัครราชทูตประจำกรุงอังการา คุณเซกี พาริลตี (Zeki Parilti) ผู้ประสานงานสมาคมธุรกิจไทย-ตุรกีและผมในฐานะหัวหน้าสาขาการระหว่างประเทศ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นผู้อภิปราย  ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

อาจารย์จิตติภัทร

ตุรกีเป็นประเทศที่น่าสนใจน่าจับตาในฐานะที่เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ  ตุรกีเป็นโอกาสของไทยหรือไม่ มีศักยภาพอะไรที่น่าสนใจ มีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไรบ้าง  รวมไปถึงมีข้อจำกัดอะไรบ้างสำหรับประเทศไทยในปัจจุบันนี้    ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องคิด และมียุทธศาสตร์ต่อประเทศตุรกี  ตุรกีเป็นสะพาน (gateway) เชื่อมโยงระหว่างตะวันออกกับตะวันตก  ระหว่างยุโรปกับเอเชีย หรือยูเรเซีย  ปัจจัยอะไรที่ทำให้ตุรกีเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญตรงนั้น    ความสัมพันธ์ไทย-ตุรกีมีลักษณะเป็นอย่างไร  มีความเป็นมาไปอย่างไรและปัจจุบันมีการพัฒนาไปอยู่ตรงไหนแล้ว   ในทัศนะของท่านวิทยากรมองตุรกีเป็นอย่างไรบ้าง   ก่อนที่จะวิเคราะห์ในเรื่องจุดแข็ง  และจุดอ่อน   รวมทั้งข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย

หมุดหมายแรกที่เป็นที่น่าสนใจของความสัมพันธ์ไทย-ตุรกีในช่วงปีที่ผ่านมา คือการเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในระหว่างวันที่ 5-6 เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 นี้  และมีการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมไทย-ตุรกี มีเป้าประสงค์ที่จะหาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนเพิ่มมากขึ้น  รวมไปถึงมีแนวโน้มที่จะศึกษาว่าไทย-ตุรกีจะมีการจัดทำข้อตกลงทางด้านการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน  โดยอาจารย์จิตติภัทรได้ตั้งคำถามว่า FTA ไทย-ตุรกีจะมีความเป็นไปได้หรือไม่  และเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำ FTA นี้  ประเทศไทยมีจุดแข็งอะไรที่เราจะสามารถเจาะตลาดเขาได้บ้าง    และมีอะไรที่เราสามารถจะร่วมมือกันได้บ้าง  ทั้งในเชิงการค้าและการลงทุน

 

ท่านทูตรัฐกิจ มานะทัต

ภารกิจในฐานะนักการทูต โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยอยู่ในจอเรดาร์สกรีนของประเทศตุรกี

ในภาพกว้างในปัจจุบัน  คนมักจะถามว่าความสำเร็จของตุรกีเกิดจากอะไร?  และนี่คือความจริงหรือภาพลวง  ความเป็นการเมืองของตุรกีเกิดจากรัฐบาลที่เข้มแข็ง  โดยอยู่ในอำนาจมา 10 ปี  รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่มีผู้นำที่มีหลักสำคัญ นายกฯ ก็ดี ประธานาธิบดีก็ดี หรือรัฐมนตรีการต่างประเทศต่างมีความศรัทธาในศาสนาสูงมาก    แต่ในขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์ที่ใช้เมื่อเข้ามารับตำแหน่ง 10 ปีที่แล้ว รัฐบาลตุรกีก็ไม่ได้ไปบอกว่าจะเอาศาสนาเป็นตัวแก้  เขาเริ่มจากส่วนที่สำคัญที่สุด  คือเริ่มจากประเด็นเรื่องปากท้อง  ตุรกีหลังสงครามโลกคือ “ผู้ป่วยของยุโรป” แต่ปัจจุบัน ตุรกีสามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้   ทำให้เศรษฐกิจโตได้  หลังจากนั้นก็เริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเมือง  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  มันมีจุดอ่อนและจุดแข็งของรัฐบาลตุรกี  จุดแข็งคือ ความต่อเนื่อง เราคงจำได้เมื่อสัก 30-40 ปีที่แล้วนั้น  เราพูดกันว่าจีนไม่มีทางก้าวหน้าได้เลย  เพราะเราทำ equation ว่าความก้าวหน้าหรือความเจริญเท่ากับประชาธิปไตย (democracy) แต่กลับข้างกัน  เพราะฉะนั้นเมื่อจีนยังไม่มีประชาธิปไตย จีนก็โตไม่ได้  ในความเป็นจริงประสบการณ์บอกตรงกันข้ามว่า รัฐบาลที่มีความต่อเนื่อง  รัฐบาลที่ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะไปทางไหน สำคัญมาก รัฐบาลที่ประเทศเพื่อนบ้าน  ประเทศมหาอำนาจทราบว่าเจรจาแล้ว  สิ่งที่เจรจาจะไม่อยู่ในกองแฟ้มตลอดไป    มันมีความต่อเนื่องและนำไปใช้ได้ นั่นคือจุดแข็ง

จุดอ่อนคืออะไร หลังจากที่ Kemal Ataturk ขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มคนที่นิยมเขาเรียกว่าเป็น “วีรบุรุษสงคราม เป็นบิดาของประเทศตุรกี”   ในขณะเดียวกันในแง่ศาสนา Ataturk พยายามนำความทันสมัยมาเข้ากับศาสนา   ซึ่งบางทีมันก็ลงตัวหรือไม่ก็ตาม  แต่ถ้าใช้ความคิดของ Gullen ซึ่งเป็นนักคิด  นักปราชญ์ทางด้านศาสนาในตุรกีปัจจุบันซึ่งลี้ภัยไปยังเพนซิลวาเนีย เห็นว่า หลักของอิสลามประมาณร้อยละ 90 สามารถนำมาใช้กับระบอบประชาธิปไตยได้หมดเลย   ในขณะที่อีกร้อยละ 10 ไม่ใช่เรื่องหลักสำคัญและไม่ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง   จริงๆ แล้ว มันไปด้วยกันได้ แต่การที่บางรัฐบาลอยู่ในตำแหน่งนานๆ มันมีสิ่งที่เกิดขึ้นคือความมั่นใจมากจนเกินไป  ความมั่นใจดังกล่าวมันก็นำมาสู่การประท้วงที่ Gezi Park ซึ่งส่วนหนึ่งคือคนที่เปิดคือคนรุ่นใหม่     ในสมัยที่ผมเคยประจำอยู่ที่สิงคโปร์ ในความสมบูรณ์ทุกอย่างที่มีปากมีท้องอะไรต่าง ๆ คนจะเริ่มกระเตื้องเรื่องความคิด  และเรื่องเสรีภาพค่อนข้างจะมากขึ้น

พัฒนาการที่น่าสนใจคือรัฐบาลเริ่มนำสิ่งที่ดี คือเรื่องความเชื่อทางศาสนาเข้ามามากขึ้น เช่น รัฐบาลปัจจุบันเสนอว่า Ataturk บอกว่าห้ามคลุมผ้าในที่สาธารณะ  อันนี้รัฐบาลก็ยกเลิก  หรือการขายเหล้าก็ตาม ห้ามขายก่อน 22 นาฬิกา  เป็นต้น   ซึ่งอันนี้คนรุ่นใหม่ก็โตอีกแบบหนึ่ง   ภาพลักษณ์ของตุรกีเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตก่อนหน้านี้   เหตุการณ์ประท้วงที่ Gezi Park ก็เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของคนรุ่นใหม่   การประท้วงนั้นมีสิ่งที่น่าสนใจคือการเคาะกะละมังในเวลาสามทุ่มของทุกวัน   ทุกบ้าน หลายๆ บ้านเคาะกะละมัง  ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับการเป่านกหวีดในประเทศไทย

ในที่สุดรัฐบาลตุรกีก็ใช้ความรุนแรง    ในขณะเดียวกันก็เกิดการเปิดทางมากขึ้น   สิ่งที่น่าสนใจคือเป็นการดำเนินการระหว่างประเทศกับการดำเนินการภายในประเทศที่ชาญฉลาด ก็คือ Recep Tayyip Erdogan  นายกรัฐมนตรี เป็นไม้แข็ง  โดยต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา  โดยไม่เห็นด้วยกับการประท้วงแบบนี้  ประท้วงอย่างนี้ก็ไปออกความเห็นตอนที่มีการเลือกตั้งแทน  ขณะเดียวกัน Abdullah Gul ก็เป็นไม้อ่อน  การบริหารที่มีผู้นำไม้แข็งคน  ไม้อ่อนคน  มันจะมีทางออกในปัญหาต่างๆ ค่อนข้างจะหาได้ง่ายมากกว่าที่จะแข็งทั้งหมด  หรืออ่อนทั้งหมด

ประเด็นการประท้วงที่ Gezi Park เกิดขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะไปเยือน  ช่วงนั้นประเทศใน EU ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดก็ประกาศงดการเยือนหรือเลื่อนการเยือนออกไป  เกิดคำถามที่ตั้งขึ้นมาว่า ท่านนายกฯจะไปหรือไม่?    มันมีประเด็นให้ตัดสินใจว่าถ้าไปแล้วประเทศตะวันตกจะมองว่าเหตุการณ์ Gezi Park เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน   ถ้าไปก็คือเห็นเป็นการสนับสนุนรัฐบาลหรือว่าเราเห็นด้วยกับการกระทำอย่างนั้น   ประการที่สองคือ มันเป็นเรื่องภายในของประเทศแต่ละประเทศ  และต้องดูข้อมูลให้ครบถ้วน   ขณะเดียวกันการเยือนที่เกิดขึ้นในภาวะที่ประเทศมีปัญหา  เป็นการเยือนที่มีค่าสำหรับผู้รับมาก เป็นการเยือนที่ได้ใจ  เราก็ตัดสินใจให้คงการเยือนไว้  แต่ปรับรูปแบบคือแทนที่จะไปเยือนเป็นทางการที่กรุงอังการา ก็มาเยือนที่อิสตันบูล  และก็เห็นว่าเป็นการเยือนที่ได้ผล   เกินที่พวกเราได้คาดไว้มากมายหลายเท่า

เหตุการณ์การเมืองภายในประเทศอีกอันที่น่าสนใจก็คือการจับกุมรัฐมนตรีได้แก่ รัฐมนตรีที่มีความสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจ และการสร้างบ้านเอื้ออาทร รวมทั้งครอบครัว  ซึ่งเป็นเรื่องของการเน้นคอร์รัปชั่น   ในโลกนี้ไม่มีใครต้องการรัฐบาลคอร์รัปชั่น      แต่ขณะเดียวกันอาจมองได้ 2 ทางคือ ทางแรก คอร์รัปชั่นมีจริง  ขณะเดียวกันคอร์รัปชั่นมีอยู่ทั่วโลกในดีกรีที่แตกต่างกัน    ในรูปแบบที่แตกต่างกัน  ก็เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อไป     ส่วนที่สองก็บอกว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล  เป็นเรื่องของทฤษฏีสมรู้ร่วมคิดระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกา    และก็ขบวนการ Gullen movement ในตุรกี  นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  และคาดกันว่าน่าจะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นในปีหน้า      และการเลือกตั้งใหญ่ในปีถัดไป   มันมีผลกระทบที่สามารถจัดการได้   โดยเชื่อว่ารัฐบาลตุรกียังคงมีความต่อเนื่องต่อไป  แต่ถ้าถามเรื่องคะแนนนิยมหรือ Popular Vote จะสูงเท่าเดิมหรือไม่  เนื่องจากเหตุการณ์ใน 1 ปี เราไม่สามารถตอบได้   ในขณะที่เชื่อว่ารัฐบาลซึ่งมีฐานประชาชนค่อนข้างเข้มแข็ง  น่าจะชนะการเลือกตั้งได้อีก   เพราะฉะนั้นการเจรจากับรัฐบาลตุรกีในปัจจุบันเป็น “การเจรจาเพื่ออนาคต”

เศรษฐกิจตุรกีเป็นเรื่องที่คนชอบถามว่าจริงหรือไม่จริง?   เศรษฐกิจที่โตขึ้นมาได้ขนาดนี้  เป็นอันดับที่ 16 ของโลก    ข้อมูลจาก Goldman Sachs พยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ในปี ค.ศ. 2025 เศรษฐกิจของตุรกี  จะขึ้นมาเป็นอันดับ 10 ซึ่งมีสหรัฐเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 จีน อันดับ 3 ญี่ปุ่น อันดับ 4 เยอรมนี แต่พอถึงปี ค.ศ. 2032 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ โดยอันดับ 1 เป็นจีน  ตามด้วยสหรัฐอินเดีย ญี่ปุ่น บราซิล รัสเซีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เม็กซิโก อิตาลี และตุรกีเป็นอันดับ 9 ถ้าเรามองในตารางนี้ จะเห็นว่าอนาคตของเราอยู่ในเอเชีย   ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และมีจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย ตุรกีและเกาหลีใต้

สำหรับตุรกี ดังที่อาจารย์จิตติภัทร กล่าวว่าเป็นจุดเชื่อมบอลข่าน ตะวันออกกลาง ยุโรปหรือแอฟริกา เช่นเดียวกับไทยที่เป็นประตู เป็นจุดเชื่อมไปสู่ ASEAN ในเอเชีย จากประสบการณ์รับราชการมาร่วม 40 ปี เรามักจะพูดถึงศักยภาพของ Gateway บ่อยมาก  สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญคือ จะต้องทำศักยภาพนี้ให้เป็นความเป็นจริง   ศักยภาพซึ่งเป็นศักยภาพเกินกว่า 5 ปี เกิน 10 ปีผมถือว่าเท่ากับความล้มเหลว  ดังนั้นทำอย่างไรให้เราใช้ศักยภาพตรงนี้ให้เกิดความสำเร็จขึ้นมาให้ได้   ใช้ตุรกีเป็นทางไปสู่ตะวันออกกลาง  เชื่อว่าหลังจากเหตุการณ์ลิเบีย  ตุรกีเป็นประเทศแรกๆ ที่เข้าไปทำธุรกิจ  โดยเฉพาะภาคก่อสร้าง ตุรกีมีขนาดอุตสาหกรรมก่อสร้างอันดับ 2 ของโลก  รองจากประเทศจีน  เมื่อสงครามลิเบียเกิดขึ้น  พอฝุ่นสงบลงแล้ว  นักธุรกิจตุรกีเข้าไปทันที  ดังนั้นอย่างที่เราพูดกันในอดีตว่า การทำเศรษฐกิจมันต้องมี spirit ไปเมื่อตลาดมันวายแล้วมันก็ไม่สามารถจะไปซื้ออะไร  ของถูกที่มีอยู่บ้างก็เป็นของเน่าๆ เสียๆ เพราะฉะนั้นเราต้องมองว่าทำอย่างไร?  ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้ตุรกีใช้ไทยเป็น Gateway? ไทยมีอะไรเป็นจุดขาย  จุดขายของเราคือประสบการณ์ในการค้าขายระหว่างประเทศ  ประสบการณ์อันนี้ ผมขอบคุณ 2 อย่าง   หนึ่งคือนักธุรกิจไทยที่มีความสามารถสูงมาก และเมื่อประเทศในภูมิภาคนี้เป็นคอมมิวนิสต์ก็ดี ปิดประเทศก็ดี มีไพ่ไม่กี่ตัว ที่ให้ต่างประเทศจะเลือกเล่นและไพ่ที่เขาเลือกคือประเทศไทย อันนี้ amazing กล่าวคือ ประเทศเราเปิดในขณะที่ประเทศอื่นนั้นปิด หรือกึ่งปิดกึ่งเปิด  ซึ่งตรงนี้เราควรรักษาไว้ให้ดีก็คือเป็นสะพานเชื่อมโยง

ข้อสังเกตและข้อเสนอให้กรมยุโรป พิจารณาข้อหนึ่งคือสภาธุรกิจไทย-ตุรกีควรดึงกระทรวงพาณิชย์ให้เข้ามามากกว่านี้  และมีบทบาทมากกว่านี้ โดยเสนอภาพของสำนักงานพาณิชย์ต่างประเทศ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม  ควรมีพื้นที่หรือสำนักงานที่ให้ภาคเอกชนไปแล้ว  สามารถทำงานได้  เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยงบสนับสนุนต่างๆ และทำได้โดยถูกกฎหมาย   อีกประการหนึ่งคือ เราขาดการเก็บข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน ดังนั้นก็ควรให้ภาคเอกชนเข้าไปช่วยทำ  แนวความคิดก็ไม่แตกต่างที่เราจ้าง local staff เพื่อดูอีกคนหนึ่ง   หรือการเชิญนักธุรกิจไทยเข้าไปนั่งคุยในสำนักงาน   ในเรื่องงบประมาณอาจจะเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน  ซึงภาคเอกชนที่มีความสนใจจริงๆ ก็น่าจะร่วมมือช่วยกันได้

ในด้านนโยบายต่างประเทศของตุรกีนั้น  มีหัวใจอยู่ 2 ประการ นั่นคือ ประการแรกคือนโยบาย 360 องศา คือมีความสนใจไม่ใช่เฉพาะในภูมิภาค   ไม่เฉพาะในยุโรป หมายถึงแอฟริกา อเมริกา แต่หมายถึงทุกประเทศในโลกนี้  กว้างมาก แต่แน่นอนใน 360 องศา ก็ต้องมีโฟกัสบางจุด  ประการที่สอง นโยบาย 360 องศาถูกเสริมด้วยนโยบาย zero problems with neighbors ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของ Ahmet  Davutoglu รัฐมนตรีต่างประเทศคนปัจจุบัน   ในกรณีของซีเรีย จะเห็นว่าตุรกีกับซีเรีย ก่อนหน้านี้เป็นมหามิตรกันโดย “ตุรกีและซีเรียต่างก็เป็นมิตรแท้ซึ่งกันและกัน”  แต่ในขณะนี้ตุรกีเห็นว่าเหตุการณ์ในซีเรียมันขัดกับความเชื่อของตุรกี   ตุรกีเข้าไปมีบทบาทพอสมควร และก็พยายามผลักดันให้ Bashar al-Assad ผู้นำของซีเรียลาออกจากตำแหน่ง  ซึ่งก็มีการวิเคราะห์ว่ามีทั้งถูกและผิด บางฝ่ายระบุว่า ตุรกีดำเนินการเกินไปและไม่เปิดทางถอยให้ตนเองเลย

คำว่า zero-problems คือ maximum engagement คือมีความสัมพันธ์ให้มากที่สุด  และก็ขยายความไปด้วยอีกว่า ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหาเลย ปัญหาถูก minimise ปัญหาจะเป็น 0 ก็ต่อเมื่อผู้เจรจาและประเทศอื่นๆ เพื่อนบ้านเราเห็นสอดคล้องกันหรือประโยชน์สอดคล้องกันหรือแม้กระทั่งในกรณีซีเรีย   ตุรกีไม่เห็นด้วยกับรัสเซีย  แต่เขาก็ตกลงกันด้วยการเห็นด้วยที่จะไม่เห็นด้วยหรือ agree to disagree ในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นทางออกทางการทูตที่นุ่มนวล พอถึงจุดๆ หนึ่ง อันนี้คือทางออกที่นักการทูตเราเมื่อจำเป็น  เราไม่เลือกทางที่ทะเลาะ การทะเลามันมีแต่ความเสียหาย  ตุรกีวางบทบาทไว้ว่า ตัวเองเป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพหรือ broker ในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะบอลข่านและตะวันออกกลาง   โดยการเป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพในบอลข่านและตะวันออกกลาง ทำได้เพราะเหตุผลก็คือ ความที่เขาเป็นมุสลิมสายกลาง   ซึ่งนิยมความเป็นมุสลิมสายกลางก็มีการตีความได้หลายแบบ

ในการทำความเข้าใจตุรกี  และประเทศที่เป็นมุสลิม  ถ้าไม่มีความเข้าใจพื้นฐานเรื่องของศาสนาแล้ว  เราจะไม่เข้าใจวิธีการคิด    ถ้าไม่เข้าใจศาสนา ก็จะไม่เข้าใจว่าทำไม Erdogan คิดอย่างนี้  โดยเขาเรียนหนังสือจากโรงเรียนอิหม่ามฮาฟิสเพราะฉะนั้นมันจะบอกภูมิหลังว่ามีความเคร่งศาสนา หรือแม้กระทั้ง Abdullah Gul ก็มีความเคร่งศาสนา  หรือ Davutoglu รัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งเคยเป็นศาสตราจารย์มาก่อน  ท่านก็เป็นมุสลิมที่ดี  ถ้าเราเข้าใจความคิดของประเทศต่างๆ ได้  ต้องเข้าใจความคิดของผู้นำ  และจะเข้าใจความคิดของผู้นำได้  ต้องเข้าใจในปรัชญาคิดของผู้นำเหล่านั้น

อาจารย์จิตติภัทร กล่าวสรุปและตั้งข้อสังเกตว่าตุกรีเคยเป็น “ผู้ป่วยของยุโรป” ตั้งแต่ก่อนและหลังการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมาน   ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงสถานภาพตัวเองกลายเป็นปกติที่มีความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้  และก็เป็นตัวกลางหรือ broker ที่น่าสนใจในเวทีเจรจาระหว่างประเทศ  ท่านทูตรัฐกิจได้พูดถึงหลายมิติมากๆ ว่าเศรษฐกิจของตุรกีเป็นภาพจริงหรือมันเป็นมายาคติ  ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจของตุรกีดูเหมือนจะเป็นไปได้ค่อนข้างไกลมาก  โดยที่เขามีจุดแข็งอยู่หลายเรื่องด้วยกัน  ในเรื่องของศาสนาที่ค่อนข้างจะเป็นสายกลาง   ในเรื่องของรัฐบาลที่มีความต่อเนื่อง  และมีความมุ่งมั่นชัดเจนที่จะสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่างชาติได้    และท่านทูตก็ยังได้พูดถึงแนวโน้มของทิศทางการเมืองตุรกีในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นอย่างไร   แม้ว่าจะเจอการชุมนุมประท้วง Gezi Park ในช่วงปีที่ผ่านมา  แต่ดูเหมือนว่าทิศทางต่างๆ นี้ก็ยังคงอยู่

อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ ประเทศไทยเจรจากับตุรกีในขณะนี้เป็น “การเจรจาเพื่ออนาคต” ข้างหน้า  ไม่ว่ารัฐบาลอาจจะเปลี่ยน   ตัวผู้เล่นอาจจะเปลี่ยนแปลงไป  แต่ความสัมพันธ์ไทย-ตุรกีก็จะยังคงต้องดำเนินต่อไป  แล้วก็ในเรื่องของการเป็น Gateway ทั้งในของตุรกี ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และบริเวณใกล้เคียง  รวมไปถึงประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาเซียน และประเทศในอินโดจีน  ที่ตุรกีก็มองประเทศไทยเป็น Gateway ของเขาในภูมิภาคนี้   ดังนั้นเราก็จะต้องดูว่า เราจะเล่นในเกมนี้มากน้อยแค่ไหน  อย่างไร ท่านทูตทิ้งท้ายด้วยหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญคือนโยบายต่างประเทศของตุรกี  ที่เขามี innovation ที่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้านี้  ในเรื่องของการมองเห็นที่รอบด้าน 360 องศา รวมไปถึงนโยบาย zero-problems ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านที่เข้าไปเกี่ยวข้องและพัวพัน

นอกจากนี้เราอาจจะมองบทบาทของตุรกีในฐานะที่เป็นการผงาดขึ้นมาของตุรกี  ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นตัวแสดงระดับโลก หรือ Global actor เหมือนอย่างจีน   แต่ในฐานะที่เป็นตัวแสดงระดับภูมิภาค  ซึ่งอาจเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ตั้งไว้

จรัญ มะลูลีม อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  “ขอความสันติจงมีแด่ท่านนะครับ” เราไม่ค่อยได้เห็นการพูดถึงตุรกีในประเทศไทย  นี่อาจเป็นครั้งแรกๆ ที่มีการพูดเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง   วันนี้พูดถึงในฐานะที่เป็นคนมุสลิมด้วย  เพราะว่ามีโอกาสเดินทางไปตุรกีหลายครั้ง   ตั้งแต่ตุรกีที่อาจจะเรียกได้ว่ายังมีสภาพของความเป็นผู้ป่วยของยุโรป (Sick man of Europe) อยู่บ้างกับตุรกีตอนที่เป็นคนแข็งแรงแล้วของยุโรป (Strong man of Europe) อยู่บ้างแล้วว่ามันต่างกันมาก  ได้เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมาก  จากเดิมซึ่งอัตราค่าเงินตุรกีในสมัยก่อนไม่ได้มีค่ามากเท่ากับปัจจุบัน

เวลาไปตุรกี หรือสอนนักศึกษาตุรกีในประเทศไทยที่มาเรียนหลักสูตรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (MIR) ที่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์   เขาก็บอกว่าเฉพาะคนตุรกีอย่างเดียวที่อยู่ในเยอรมนีมีตั้ง 5 ล้านคนแล้วและคนตุรกีเป็นนักก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่มาก   เราจะเห็นว่าศาสนสถานของมหานครมักกะฮ์ ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของซาอุดีอาระเบีย ณ ตอนนี้นั้น  ล้วนแต่ใช้ช่างตุรกีทั้งสิ้น หนังสือดีๆ ที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเป็นหนังสือของซินาน ซึ่งพูดถึงการก่อสร้าง โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมอิสลาม  แม้แต่สัญลักษณ์ซึ่งหลายๆ คนเข้าใจว่าเป็นสัญลักษณ์ศาสนาอิสลามอย่างดาวเดือน    ความจริงเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรออตโตมานที่ยิ่งใหญ่   ระยะหลังๆ หลายประเทศรวมทั้งคนมุสลิมในประเทศไทยก็เอามาใช้ประดับไว้ตามมัสญิดและอื่นๆ ออตโตมานเป็นอาณาจักรที่ครองความยิ่งใหญ่ยาวนานถึง 600 กว่าปี  โดยเฉพาะตะวันออกกลางเกือบทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ใต้การปกครองของออตโตมานมาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งออตโตมานร่วมรบกับเยอรมนี และพ่ายแพ้จากนั้นอาณาจักรออตโตมานก็เหลือเพียงตุรกี

ปัญหาของตุรกีในช่วงต้นสมัย Kemal Ataturk ก็เหมือนกับผู้นำคนอื่นๆ ที่มองว่าวิถีของคนยุโรปนั้นน่าจะเป็นวิถีชีวิตที่ดีที่สุดมากกว่าวิธีดั้งเดิม  ก็ทิ้งหลักการ  และความยิ่งใหญ่ของความเป็นอิสลามในช่วงนั้น   โดยลืมไปว่าความยิ่งใหญ่ของออตโตมานในนั้น  ส่วนหนึ่งมาจากศาสนาอิสลาม  ดังนั้นสิ่งที่เราได้พบก็คือว่า ตุรกีที่เราได้พบในตอนนั้นเป็นตุรกีที่เป็น Sick man of Europe เป็นตุรกีที่แยกแยะไม่ออกระหว่าง Westernization กับ Modernization คิดว่าอะไรที่มาจากตะวันตกเป็นสิ่งทันสมัยทั้งสิ้น   อันนี้เป็นความคิดเดียวกับชาฮ์ของอิหร่าน  เป็นความคิดเดียวกันกษัตริย์อมานุลลอฮ์ของอัฟกานิสถาน  ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ในระยะหลังก็ถูกบีบให้ออกนอกประเทศไป

อย่างไรก็ตาม ตุรกีก็เป็นประเทศมุสลิมเพียงไม่กี่ประเทศ ที่ยึดหลัก Secularism ซึ่งเน้นการแยกศาสนาออกจากการเมือง  หรือให้ความสำคัญกับสังคมมากกว่าศาสนา  อันนี้เป็นช่วงหนึ่งของตุรกี  ตุรกีเปลี่ยนเสียงเรียกการทำละหมาด (อะซาน) จากภาษาอาหรับเป็นภาษาตุรกี  เปลี่ยนวิถีชีวิตหลายอย่าง  และก็ในเวลาเดียวกันมีพรรคการเมืองที่พยายามจะลุกขึ้นสู้โดยใช้หลักการอิสลาม  แต่ว่าอำนาจที่สำคัญเป็นของทหาร  เพราะฉะนั้นถ้าพรรคใดก็แล้วแต่จะใช้ชื่ออิสลาม  หรือมีวิถีอิสลาม อย่างกรณีของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมก็มักจะถูกทหารโค่นมาตลอด  อย่างเช่นในสมัยของ Erbakan เป็นต้น   แม้ว่าในระยะต่อมารัฐบาลพลเรือนจะมีบทบาทมากกว่าทหารก็ตาม  จะเห็นได้ว่าตุรกีเป็นรัฐฆราวาสธรรมจนถึงชั้นที่ว่าสตรีไม่สามารถคลุมฮิญาบเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย   เช่นเดียวกับผู้ชายที่ไว้เคราก็ถูกห้ามเข้าห้องเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเช่นกัน  แต่หลังจากนั้นอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตุรกีก็ได้สรุปบทเรียนว่า การเมืองของตุรกีต้องเปลี่ยนผ่าน  นั่นก็คือหลักศาสนาต้องคงอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันต้องเปิดพื้นที่ให้กับประชาธิปไตยให้มากขึ้น  จากนั้นตุรกีก็ประสบความสำเร็จในสมัยของ Abdullah Gul และ Erdogan ที่ประสบชัยชนะมาตลอด ฉะนั้น โลกมุสลิมจึงมองตุรกีว่าเป็น “Turkish Model” เป็นประเทศที่น่าเอาแบบอย่าง ก็คือว่าต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมการเดินสายกลาง (empowering the moderate) มิใช่อิสลามสายกลาง เพราะนักวิชาการมุสลิมบอกว่า ถ้าพูดว่าอิสลามสายกลาง  อิสลามก็ต้องมีสายอื่นๆ ด้วยฉะนั้นอิสลามก็คืออิสลาม อิสลามเป็น way of life ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในการตีความ  แต่อย่างไรก็ตาม คนมุสลิมก็ได้รับการสอนจากคำสอนของศาสนาไว้อย่างชัดเจนว่าเป็น people of the middle path คือว่าเป็นประชาชาติสายกลาง  อันนี้ตรงกับหลักการของพี่น้องชาวพุทธที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา

ดังนั้นคำสอนที่ถูกต้องสำหรับอิสลามคือการประณามความรุนแรงสุดโต่ง ถือว่าผู้ติดยึดกับความรุนแรงและสุดโต่งไม่ใช่สานุศิษย์ที่แท้จริงของอิสลาม   อันนี้เป็นการตีความตามหลักการศาสนา การตีความอาจขึ้นอยู่กับสำนักคิดต่างๆ เพราะว่าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นศาสนาวจนะ ซึ่งการตีความอาจแตกต่างกัน แต่ว่าการตีความส่วนใหญ่ก็ออกไปในแนวทางที่เราเข้าใจได้ดี

ตุรกีเป็นประเทศที่ผ่านเหตุการณ์หลายอย่าง ตุรกีไม่ใช่ทั้งเปอร์เซีย ไม่ใช่ทั้งอาหรับ แต่เป็นมุสลิมอยู่ในดินแดนที่เป็นยุโรป   ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่อยากจะเป็นยุโรปมากกว่าเอเชีย  ในขณะที่อิสราเอลอยู่ในเอเชีย แต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอาหรับอื่นๆ ต้องไปสังกัดกับยุโรป อันนี้เป็นชะตากรรมของเชื้อชาติ  หรือว่าความขัดแย้งในภูมิภาคและการยึดครองที่ไม่ชอบธรรม

Secularism ของตุรกีอาจจะแตกต่างจากโลกอาหรับอื่นๆ ในหลายแง่มุม ตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล  แต่ในเวลาเดียวกัน องค์กรที่ใหญ่ที่สุดของอิสลามคือ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ก็มีชาวตุรกีเป็นผู้นำที่ได้รับการคัดเลือกจากโลกมุสลิมมาแล้วสองสมัยติดต่อกัน  ตุรกีกับประเทศไทยมีปัญหาคล้ายคลึงกันนั่นคือ ตุรกีมีปัญหาชาวเคิร์ด ส่วนของไทยมีปัญหาสามจังหวัดภาคใต้

ถ้ามองในแง่ความสัมพันธ์ทางการทูต ประเทศไทยกับตุรกีมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยม  เช่นเดียวกับที่ไทยมีความสัมพันธ์กับอิหร่านมายาวนานถึง 400 ปี  กรณีของตุรกีพอถึงปี ค.ศ. 2018 จะมีความสัมพันธ์ 60 ปี ตอนนี้เป็นความสัมพันธ์มากกว่า 50 ปีที่ยาวนาน  และก็มีการเยือนกันอย่างเช่น การเยือนของนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ซึ่งก็มีหลายอย่างที่น่าสนใจและก็มีการตกลงกัน

ถ้ามองในทางภูมิศาสตร์ ตุรกีมีความสำคัญเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แถบนั้น เพราะว่าตุรกีเป็นรอยต่อเชื่อมโยงระหว่างเอเชีย ยุโรปและแอฟริกา  เส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญก็ผ่านช่องแคบบอสฟอรัสและดาร์ดะเนลส์ พลเมืองนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 90 ความจริงอิสลามของตุรกี มองจากภูมิหลังเมื่อเทียบกับตะวันออกกลาง ถือว่าเป็นอิสลามที่ดูเหมือนจะค่อนข้างตีความแตกต่างกัน   แล้วก็มีบางช่วงที่พบว่า มีวิถีชีวิตด้านหนึ่งที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง   จากประสบการณ์ในการเดินทางไปหลายครั้ง  ตุรกีเป็นประเทศที่ผู้คนมีนิสัยน่ารัก อ่อนโยน ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่คนตุรกีเลือกมาศึกษาและมาตั้งโรงเรียนอย่างน้อยโรงเรียนตุรกี 4 แห่งในประเทศไทย ทั้งในเชียงใหม่และกรุงเทพก็ประสบความสำเร็จมาก

ถ้ามองตุรกีโดยภาพรวมเราเห็นหลายอย่าง เช่นเป็นส่วนผสมระหว่างอารยธรรมเก่าแก่กับความทันสมัย  ในปัจจุบันนี้เราต้องการที่จะร่วมมือกับตุรกีหลายด้าน และก็ถือว่าตุรกีเป็นจุดยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะเส้นทางสายไหมใหม่   ซึ่งเป็นเส้นทางที่เราหวังว่าจะเป็นศูนย์กลางของเอเชียในการเชื่อมต่อกับยุโรป  นอกจากนี้ตุรกีเองก็พยายามมีบทบาทในฐานะผู้นำในโลกมุสลิม   เราเห็นบทบาทของตุรกีชัดเจนในการเข้ามาแก้ปัญหาโรฮิงยาในพม่าซึ่งเป็นชาวมุสลิมของรัฐยะไข่  ความคิดที่จะเชื่อมโยงผ่านสายเอเชีย  โดยการเชื่อมโยงยุโรป-เอเชีย ตุรกีนั้นถูกเรียกว่าเป็น Iron Silk Road ส่วนไทยนั้นก็ต้องการเข้าไปมีบทบาทในเส้นทางสายไหมนี้เช่นเดียวกัน  และก็หวังว่าจะให้มีการเชื่อมต่อระหว่างไทย-ตุรกี เอเชียกลางและอื่นๆ ในที่สุด

ในส่วนของความสำเร็จอื่นๆ นั้น ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนกับประชาชนค่อนข้างมาก  โดยมีองค์กรที่สำคัญและทำงานอย่างต่อเนื่องก็คือสมาคมธุรกิจตุรกี-ไทย นอกจากนี้สิ่งที่ตุรกีมีบทบาทมากขึ้นก็คือ เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญ ในปัจจุบันนี้ เรากำลังจะดำเนินการเรื่องของการตกลงเขตการค้าเสรี   ในฐานะที่ตุรกีมีอุตสาหกรรมก่อสร้างอันดับ 2 ของโลก  ไทยเราน่าจะมีวิธีการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในด้านนี้ด้วย   พ่อค้าตุรกีส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทย เป็นพ่อค้าส่วนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในด้านที่เกี่ยวกับอัญมณี  รวมทั้งในระยะหลังๆ มีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันมากขึ้น  แล้วไทยกับตุรกีมีความเห็นร่วมกันว่าไทยจะไปเปิดสถานกงสุลในตุรกี   และตุรกีก็จะมาเปิดเช่นเดียวกันที่เชียงใหม่และภูเก็ต   เราจะเห็นว่าสายการบิน Turkish Airline มีเที่ยวบินถึง 4 เที่ยวต่อสัปดาห์  และที่สำคัญคือทุกวันนี้มีชาวตุรกีอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 50,000 คน เป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งหมดนี้ก็เป็นภาพรวมของประเทศหนึ่งที่เคยเป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ของโลก  ถึงเวลาแล้วที่ไทยกับตุรกีควรมีความเชื่อมโยงผูกพัน และมีความสัมพันธ์ให้มากขึ้น  หลังจากที่เรามีความสัมพันธ์ที่เจริญเติบโตเกือบ 60 ปีแล้ว

อาจารย์จิตติภัทร กล่าวสรุปและตั้งข้อสังเกตว่า  อาจารย์จรัญมองจากกรอบการวิเคราะห์แบบอิสลาม  ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่ท่านสนใจและมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก  การเปลี่ยนแปลงของตุรกีมีหลายประเด็นด้วยกันได้แก่ ประเด็นเรื่องของการเป็นรัฐฆราวาสที่มีบทบาทค่อนข้างสำคัญ   และบทบาทของกองทัพตุรกีที่ทหารมีบทบาทในการโค่นล้มรัฐบาลหลายครั้งในนามของการปกป้องลัทธิ Secularism มากมายหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา  และเมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นประชาธิปไตยได้ในที่สุดก็เปิดที่เปิดทางให้กับกระบวนการแบบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา

“ตุกรีไม่ใช่อาหรับ ไม่ใช่เปอร์เซีย แต่เป็นอิสลาม เป็นมุสลิม แต่อยากเป็นยุโรป” เป็นการสะท้อนภาพที่ชัดเจนมากๆ ของตุรกี  เพราะประเทศตุรกีอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปหรือ EU มาก  แต่ด้วยความเป็นอิสลามอาจจะเป็นเงื่อนไขประการหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ตุรกีเข้าไปสู่ EU ได้ค่อนข้างยากลำบาก  ตุรกียังเป็นการผสมระหว่างอารยธรรมเก่ากับความทันสมัยในปัจจุบัน

ประเทศตุรกีมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายกับประเทศไทยมาก  ทั้งพัฒนาการทางด้านการเมือง  บทบาทของทหาร กองทัพ ในเรื่องของพัฒนาการประชาธิปไตย ในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจ การที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค   รวมไปถึงการมีปัญหาอะไรคล้ายกันเช่น ปัญหาในเรื่องของเคิร์ดหรือปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

หลังจากนั้น อาจารย์จรัญพูดถึงศักยภาพของตุรกีในหลายมิติ เช่นในเชิงยุทธศาสตร์ การเป็น Getaway หรือการเป็น Bridge ที่เชื่อมโยงยูเรเซียต่างๆ ยุโรป เอเชีย แอฟริกา รวมทั้งตะวันออกกลาง ในเรื่องของความสัมพันธ์ของประชาชนตุกรีกับไทย  เราจะเห็นได้ว่าคนตุรกีมีเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย   รวมทั้งคนไทยในตุรกีก็มีนักศึกษาไทยที่ไปเรียนตุรกี ล่าสุดก็ประมาณ 90-100 คนได้  มีคนไทยที่ไปอยู่ในตุรกีราวๆ 500 คน ในเรื่องของการท่องเที่ยว มีการเดินทางไปเมืองสำคัญๆ ต่างๆ มากมาย ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไปเยือนก็จะเปิดสถานกงสุลในเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ติดกับชายฝั่งทะเลในหลายๆ ที่รวมทั้งฝ่ายตุรกีเองก็ดำริที่จะมาเปิดสถานกงสุลในประเทศไทยด้วย

ในประเด็นเรื่องของเขตการค้าเสรี อันนี้ก็เป็นประเด็นหรือโจทย์ใหญ่ของทางภาครัฐ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ก็กำลังพิจารณาอยู่  รวมไปถึงเรื่องของศักยภาพของตุรกีในการก่อสร้าง  ศักยภาพอันสำคัญอย่างมาก  เราสามารถจะไปเรียนรู้จากเขาได้ไหม เพราะในเชิงของ Know how เทคโนโลยี ความร่วมมือระหว่างกัน ผมคิดว่าตุรกีมองไทยเป็นจุดเชื่อมไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน ลาว กัมพูชา และก็เวียดนามด้วยซ้ำ  รวมทั้งยังมีอุตสาหกรรมอัญมณี สิ่งทอต่างๆ ซึ่งเป็นศักยภาพของตุรกีที่เราน่าจะพิจารณา

Mr.Zeki Parilti ผู้ประสานงานสมาคมธุรกิจไทย-ตุรกี  หลายท่านได้พูดถึงตุกรีเป็นสะพานระหว่างเอเชียกับยุโรป  ผมก็อยากให้ทุกท่านรับผมเป็นสะพานระหว่างประเทศไทยกับประเทศตุรกี  เพราะผมอยู่ประเทศไทย 12 ปีแล้ว  โดยมีภรรยาเป็นคนไทยด้วย  และมีลูก 2 คน วันนี้ผมมาแทนนายกสมาคมธุรกิจไทย-ตุรกี โดยที่จะมาพูดนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่า  ซึ่งผมมาประเทศไทยในปี ค.ศ. 1996 สมัยนั้นเป็นนักศึกษาประเทศจีน คุณหมิง และมีเที่ยวบินจากคุณหมิงถึงเชียงใหม่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง แล้วชอบเชียงใหม่มาก ปรากฏว่าเรียนหนังสือเสร็จแล้วที่เมืองจีน ผมก็อยากมาประเทศไทย  ชอบโดยเฉพาะอากาศที่เชียงใหม่ ใน ค.ศ. 2001 จากประเทศจีนไปถึงเชียงใหม่   ทำงานที่โรงเรียนวิชัยวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนแห่งหนึ่งเปิดโดยนักธุรกิจตุรกีที่มีชื่อว่า “บริษัทมาร์มาร่า” โดยปัจจุบันมีโรงเรียนตุรกีทั้งหมด 4 แห่งในประเทศไทย  ตอนนี้ก็มีตำแหน่งที่สมาคมธุรกิจไทย-ตุรกีเป็นผู้ประสานงานของสมาคม  ก่อนหน้านั้นเป็นผู้ดูแลฝ่ายวัฒนธรรม ซึ่งพยายามเอานักวิชาการ นักธุรกิจ และคนทั่วไปจากประเทศไทยไปเที่ยวที่ตุรกี  ดูงานพบปะกับผู้ที่มีความสำคัญในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ  จากนั้นคุณเซกีก็พูดต่อด้วยภาษาอังกฤษ  ซึ่งผมขอยกไปที่การสรุปรวมคำอภิปรายของคุณเซกี โดยอาจารย์จิตติภัทรเป็นการปิดท้ายบทความว่าด้วยความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี

อาจารย์จิตติภัทร กล่าวสรุปและตั้งข้อสังเกตว่า คุณ Zeki ได้ให้ภาพประวัติศาสตร์ตุรกีอย่างสั้นกระชับ  โดยเสนอว่าการล่มสลายของตุรกีนั้นนำมาสู่การก่อตัวของรัฐที่เป็นฆราวาสรัฐใหม่ในโลก   มีหลายการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ช่วงยาวของตุรกี  ตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมาน  อันเป็นผลมาจากกระบวนการพัฒนาที่มาอย่างล่าช้า (late development) และประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลายสูงมากทั้งในทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา แม้กระทั่งในศาสนาอิสลามเองก็ยังมีการตีความที่แตกต่างหลากหลาย  และก็รวมไปถึงกลุ่มเคิร์ดด้วย

การล่มสลายของอาณาจักรนี้นำไปสู่รัฐเล็กรัฐน้อยที่แตกออกมาในพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์ที่ใหญ่โตมาก  นี่ก็นำมาสู่การเกิดขึ้นของประเด็นปัญหาอะไรต่างๆ ในเวลาเดียวกันมันก็มีศักยภาพต่างๆ เกิดขึ้นด้วย  การก่อตัวของรัฐตุรกีใหม่ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือใน ค.ศ. 1923 เป็นต้นมา หัวใจสำคัญของรัฐสมัยใหม่ก็มีประเด็นในเรื่องของชาตินิยมที่มีบทบาทสำคัญ  ตุกรีก็ได้ผ่านการพัฒนาทางด้านเมือง  และเศรษฐกิจมาในหลายรูปแบบ จากในช่วงของการเติบโต ช่วงของวิกฤต นำไปสู่การรัฐประหารเป็นวัฏจักรทางการเมืองในตุรกี  ในภูมิภาคนี้  บทบาทของตุรกีเป็นประเทศที่ห้อมล้อมไปด้วยรัฐที่เป็นอำนาจนิยม  หรือรัฐเผด็จการทั้งนั้นเลยแล้วจะอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร   บทบาทของตุรกีในการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้าน คุณ Zeki ได้พูดถึง 2 คำที่น่าสนใจคือ ความเข้าใจร่วมกันกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานยังไม่ต้องพูดถึง democratization มากเท่าใดนัก  แต่การเข้าใจร่วมกันกับการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้าน   โดยอาศัยหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งคุณ Zeki ได้นิยามไว้ค่อนข้างจะเรียบง่าย แต่มีนัยยะสำคัญนั่นคือการให้คนมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา  เรื่องของการทูต และการแสดงความคิดเห็น

อีกประเด็นหนึ่งคือ ประเด็นเรื่องของศาสนาที่มีการตีความหลายแบบมากมาย  แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีแบบเดียวที่ถูกต้องทั้งหมด   แต่ขึ้นอยู่กับเรื่องของการปฏิบัติในสังคมเป็นสำคัญ  นอกจากนั้นหลักการสำคัญของศาสนาอันได้แก่ ความรัก ความใจกว้าง และเมตตาธรรมเป็นสิ่งที่นำพาให้รัฐตุรกีหลุดออกจากวิกฤตเศรษฐกิจ  และหลุดออกจากวิกฤตการเมืองอะไรต่างๆ ได้อันนี้ก็เป็นปัจจัยในเชิงของวัฒนธรรม และศาสนาที่สำคัญ

ในส่วนสุดท้ายคุณ Zeki ได้พูดถึงบทบาทของตุรกี และตำแหน่งแห่งที่ของตุรกีที่น่าสนใจก็ไม่อยากให้มองตุรกีเป็น role model ของโลกมุสลิมเลยทีเดียว  แต่มองว่าเป็น good source of experience ของคนมุสลิมที่สามารถอยู่กันอย่างเอื้ออาทร อย่างสันติสุข และอย่างประสบความสำเร็จได้

เผ่าพันธุ์

 

ชนชาวเซมิติก

            ชาวอาหรับเป็นเผ่าพันธุ์เซมิติก (Semitic) ชนชาวเซมิติกคือเชื้อสายของเชม (Shem ซึ่งเป็นบุตรชายคนหัวปีของท่านศาสดานุห์ (Noah) หรือโนอา  เชื่อกันว่าอาระเบียเป็นแหล่งของชนชาวเซมิติก  ในขณะที่ประชากรเซมิติกเพิ่มขึ้นนั้น  พวกเขาก็ได้อพยพมายังดินแดนต่างๆ ที่อยู่ติดกับอาระเบียหลายกลุ่ม  ชาวบาบิโลเนีย อัสซีเรีย คอลเดีย อมอรี (Amorites) อาร์มาเอียน (Armaeans) ชาวโฟนิเซียน (Phoenicians) ชาวฮิบรูและอบิสซิเนียต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์เซมิติกซึ่งอพยพจากถิ่นเดิมในอาระเบียมาในสมัยต่างๆ ทั้งนั้น

ชาวอียิปต์

เมื่อประมาณ 3500 ปีก่อน ค.ศ. ชนชาวเซมิติกได้อพยพจากอาระเบียไปยังลุ่มแม่น้ำไนล์และเข้ารวมกับชนชาวฮามิติก (Hamitic) แห่งอียิปต์กลายเป็นชาวอียิปต์ผู้สร้างปิรามิด  พวกเขาเป็นพวกแรกที่มีปฏิทินสุรยคติใช้

 

ชาวบาบิโลเนีย

ในสมัยเดียวกับที่มีการอพยพไปยังอียิปต์  ชาวเซมิติกอีกกลุ่มหนึ่งได้อพยพไปทางเหนือสู่ลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรตีส   ตอนนี้ลุ่มแม่น้ำมีชาวสุเมอเรีย ซึ่งเป็นชุมชนที่เจริญแล้วอาศัยอยู่ก่อน   การผสมกันระหว่างชาวสุเมอเรียกับชาวเซมิติกนี้ได้เกิดเป็นชาวบาบิโลเนียผู้สร้างจักรวรรดิบาบิโลนขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์   ชาวบาบิโลเนียนี้เป็นพวกแรกที่ประดิษฐ์รถมีล้อและระบบการชั่งตวงวัดขึ้น

 

ชาวอมอรี (Amorites)

ในขณะเดียวกันผู้อพยพกลุ่มที่สามก็ไปยังดินแดนรูปจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ตามขอบทะเลเมดิเตอเรเนียน ผู้ที่ไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าซีเรียตะวันตกและปาเลสไตน์สขณะนี้มีชื่อว่าพวกคะนาอัน (Canaanites) และพวกที่ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ตามชายฝั่งทะเลก็เรียกว่าพวกโฟนีเซียน (Phoenicians) ซึ่งเป็นพวกแรกที่ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น

 

ชาวฮิบรู

ในราวกลางรอบพันปีที่สองก่อน ค.ศ. ท่านศาสดาโมเสส (มูซา) ได้นำพรรคพวกของท่านไปยังปาเลสไตน์และซีเรียใต้เพื่อไปตั้งหลักแหล่ง รู้จักกันในนามชาวยิวหรือฮิบรู (Hebrews) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  ส่วนพวกที่ไปตั้งหลักแหล่งทางซีเรียเหนือนั้นเรียกว่าพวกอาร์มาเอียน

 

ราชอาณาจักรอาหรับในอาระเบียตอนใต้

ชาวชาเบียน (Sabeans) เป็นกลุ่มคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้สร้างอาณาจักรชาบา (Saba) ขึ้นในตอนใต้ของแหลมอาระเบียเมื่อประมาณ 750 ปี ก่อน ค.ศ.

อีกอาณาจักรหนึ่งในอาระเบียได้ก็คือราชอาณาจักรของชาวมินาเอียน (Minaeans) ซึ่งตั้งขึ้นในราว 700 ปีก่อน ค.ศ. นครซิวระห์ (Sirwah) ทางทิศตะวันตกของเขื่อนมะอาริบ (Maarib) ในปัจจุบันเป็นนครหลวงของอาณาจักรซาบา

ชาวซาเบียนบูชาเทพดวงจันทร์  ต่อมาชาวซาเบียนได้ปราบปรามชาวมินาเอียนเพื่อนบ้านขงตนจนตกเป็นทาส   ประมาณปี 610 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์ของซาบาได้สูญเสียลักษณะที่เป็นพระด้วยนั้นกลายเป็นกษัตริย์ทางโลกแต่อย่างเดียว    ในขณะนั้นได้ย้ายนครหลวงไปอยู่ที่มะอาริบ  ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3900 ฟุต

ส่วนนครหลวงของอาณาจักรมินาเอียนคือนครกัรเนา (Qarnaw) หรือปัจจุบันกลายเป็นนครมะอาน (Maan) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครกัรเนา

 

กอตอบัน (Qataban) และหะเฏาะเราะเมาต์ (Hadramawt)

นอกจากราชอาณาจักรซาบาและมินาเอียนแล้วก็ยังมีอีกสองรัฐเกิดขึ้นในอาระเบียใต้คือรัฐกอตอบันและหะเฏาะเราะเมาต์   อาณาจักรกอตอบันอยู่ทางทิศตะวันออกของนครเอเดน  ปัจจุบันมีนครหลวงชื่อตัมนา  (Tamna)  ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่านครกูห์ลาน (Kuhlan) อาณาจักรนี้สร้างขึ้นในราว 400 ปีก่อนค.ศ.   ส่วนอาณาจักรหะเฏาะเราะมาต์นั้นอยู่ในดินแดนที่เป็นรัฐหะเฏาะเราะเมาต์ในปัจจุบัน   มีนครหลวงชื่อซับวาห์ (Shabwah)

 

ชนชาวฮิมยารี (Himyarites)

            ประมาณปี 115 ก่อนค.ศ. ชาวชาเบียนและมินาเอียนได้ถูกแทนที่โดยชาวฮิมยารีซึ่งมีรากเหง้าเดียวกับชาวซาเบียน   พวกนี้ได้ย้ายนครหลวงไปอยู่ที่นครซอฟัร (Zafar)  ในช่วงสมัยของชาวฮิมยารีนี่เองที่กษัตริย์เอเลียส กอลลัส (Aelius Gallus) แห่งโรมันยกทัพมารุกรานประเทศแต่พ่ายแพ้กลับไป

เพื่อปกป้องตัวชาวฮิมยารีจึงได้สร้างป้อมปราการขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อป้องกันพวกเบดุอิน   ที่รู้จักกันดีที่สุดคือป้อมฆุมดาน (Ghamdan) ซึ่งมี 20 ชั้น

ในระยะแรกชาวฮิมยารีได้เข้าครองเอกสิทธิ์การค้าทางน้ำในทะเลแดงและมีอำนาจมากมาย  กษัตริย์ซัมมาร์ ยัรอัช (Shammar Yarash) มีชื่อเสียงที่สุดได้ขยายเขตแดนออกไปจนรวมเอาส่วนมากของอาระเบียขึ้นไปถึงยะมามะฮ์ (Yamamah) กล่าวกันว่าพระองค์ได้ขยายเขตแดนไปถึงทรานโซเซียนา (Tranxoxiana) ทีเดียว  และได้สร้างนครสะมาคานด์ (Samarkand)  กษัตริย์อะบี การิบา อัสด์ (Abi-Kariba Asd) ผู้อยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 เอาชนะเปอร์เซียได้

 

ราชอาณาจักรอักซัม (Aksum)

เชื่อนมะอาริบใหญ่ได้แตกทำลายลงในคริสต์ศตวรรษที่ 5 จึงทำให้เผ่าพันธุ์ในอาระเบียใต้บางเผ่าต้องอพยพ   ข้ามทะเลแดงไปยังแอฟริกาตะวันออก   และสร้างราชอาณาจักรอักซัมขึ้นซึ่งต่อมากลายเป็นใจกลางของประเทศอบิสสิเนียหรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน

 

ความขัดแย้งทางศาสนา

ศาสนาจูดาห์กลายเป็นศาสนาประจำรัฐของชาวฮิมยารีในคริสต์ศตวรรษที่ 4  ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 คริสต์ศาสนาก็มีอิทธิพลอยู่มากในอาระเบีย    รัฐอบิสสิเนียก็เข้ารับนับถือคริสต์ศาสนา    ในอาระเบียเองชาวนครนัจญ์รอน (Najran) ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก็รับนับถือคริสต์ศาสนาเช่นกัน

กษัตริย์ดู นาวาส (Dhu Nawas) ชาวฮิมยารีนั้นนับถือศาสนาจูดาห์และมีความเป็นปรปักษ์ต่อชาวคริสเตียนอย่างยิ่ง   ใน ค.ศ.523 พระองค์ทรงฆ่าหมู่ชาวนครนัจญ์รอนที่นับถือศาสนาคริสต์

ชาวคริสเตียนที่รอดชีวิตไปได้ได้ไปร้องเรียนกษัตริย์  จัสตินที่ 1 (Justin I) แห่งอาณาจักรโรมันให้แก้แค้นให้    จักรพรรดิโรมันจึงทรงแนะนำให้เนกุสแห่งอบิสสิเนียนยกทัพไปยังอาระเบียภายใต้กองทัพชาวคริสเตียนจำนวน 70,000 คน   ภายใต้บัญชาการของอับรอฮะฮ์ (Abraha)  ซึ่งได้เดินทัพไปยังอาระเบียใต้ใน ค.ศ. 625 และกษัตริย์ดูนาวาสพ่ายแพ้จึงเป็นการสิ้นสุดของชาวฮิมยารี

ตอนนี้อับรอฮะฮ์ได้เข้าครองอาระเบียได้     มีนครหลวงอยู่ที่นครซานาอ์ (Sanaa) อาระเบียใต้จึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา

ในระหว่างนี้ชาวเผ่าฆ็อสซาน (Qhassan) ได้อพยพไปที่ตำบลเฮาราน (Haran) ในซีเรียและชาวเผ่าลัคห์ (Lakh) ได้อพยพไปยังตำบลหิรอฮ์ (Hirah) ในอิรัก    ระหว่างนั้นชาวอบิสสิเนียในอาระเบียใต้ไม่เป็นที่ชอบพอของผู้คน

ได้มีขบวนการแห่งชาติซึ่งนำโดยซัยฟ์ ดี ยชาน (Sayf Dhi Yzan) ซึ่งเป็นเชื้อไขของชาวฮิมยารีเดิมแข็งข้อขึ้น    ชาวคริสเตียนขอความช่วยเหลือจากพวกไบแซนไตน์    ซัยฟ์ ดี ยซานจึงไปขอความช่วยเหลือจากเปอร์เซีย    ใน ค.ศ. 575 กษัตริย์กิสรอ (Kisra) แห่งเปอร์เซียได้ส่งกองทัพเปอร์เซียมาโค่นล้มการปกคอรงของอบิสสิเนียในอาระเบียใต้   และได้ตั้งให้ซัยฟ์ ดี ยซานเป็นประมุขแต่ในนาม

ส่วนการปกครองทั้งหมดเป็นของเปอร์เซีย โดยมี ฆุมดาน (Ghumdan) เป็นนครหลวง   ต่อมาไม่กี่ปีเขาถูกปลดออก และให้ชาวเยเมนเป็นเจ้านครแทน

 

ชาวนะบาตาเอียน (Nabataeans)

ในศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. ได้มีชาวเผ่าอาหรับที่มีชื่อว่าเผ่านะบาตาเอียนอพยพจากทรานส์จอร์แดนมายังปาเลสไตน์เข้ามาครอบครองดินแดนของชาวอีโดมี (Edomites) และตีนครเพตรา (Patra) ได้จึงใช้เป็นนครหลวง

ในไม่ช้านครนี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของเส้นทางคาราวานระหว่างเยเมนกับซีเรีย    ใน 312 ปีก่อน ค.ศ. กษัตริย์อันติโกนุส (Antigonus) ผู้สืบต่อจากอเล็กซานเดอร์ได้มาโจมตีนะบาตาเอียนแต่ยึดนครเพตราไม่ได้    หลังจากนั้นชาวนะบาตาเอียนก็กลายเป็นสัมพันธมิตรของโรมและร่วมมือกับนายพล กอลลัส (Gallus) ของโรมันเข้ามารุกรานอาระเบียใต้เมื่อ 24 ปีก่อน ค.ศ.

ชาวโรมันเรียกอาณาจักรของชาวนะบาตาเอียนว่าอาระเบียเพตราเอีย (Arabia Patraea)    ชาวนะบาตาเอียนมีอำนาจสูงสุดภายใต้กษัตริย์ ฮาริษะฮ์ที่ 4 (Harithath IV) 9 ปีก่อน ค.ศ.-ค.ศ.40

ในสมัยของท่านเยซูคริสต์   อาณาจักรนะบาตาเอียนขยายไปไกลถึงนครดามัสกัสทางใต้รวมไปถึงอัลฮิจญร์ (al Hijr) ซึ่งอยู่ในอัลหิยาซตอนเหนือ     กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้คือกษัตริย์ รับบิลที่ 2 (Rabbil II)  (ค.ศ.70-106)   ในค.ศ. 106 ชาวโรมันมาตีอาณาจักรนี้ได้จึงตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันไป

 

ปาล์มมีเรนา (Palmyrena)

มีอาณาจักรของอาหรับอีกอาณาจักรหนึ่งมีชื่อว่าปาล์มมีเรนาเกิดขึ้นที่ซีเรียเหนือในคริสต์ศตวรรษแรก    มีนครหลวงอยู่ที่นครทัดมอร์ (Tadmore)  ซึ่งต่อมาเรียกว่านครปาล์มมีเร (Palmyra)  เนื่องจากมีต้นปาล์มอยู่จำนวนมาก

อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ตรงชายแดนของจักรวรรดิโรมและเปอร์เซีย  นโยบายของอาณาจักรปาล์มมีเรนาคือจะรักษาความสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจไว้และหาผลประโยชน์จากความเป็นกลางของตน   อาณาจักรนี้มีอำนาจสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 2 และ 3 ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าซึ่งขยายไปจนถึงเมืองจีน

ใน ค.ศ.260 กษัตริย์โอเดนาธุส (Odnathus) แห่งปาล์มมีเรนาได้ขับไล่จักรพรรดิ  ชาฮ์ปูรของเปอร์เซียออกไปจากซีเรีย  แล้วพระองค์ก็เข้าเป็นสัมพันธ์มิตรกับโรมและได้รับเกียรติอย่างสูงจากจักรพรรดิแห่งโรม    อีก 4 ปีต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างปาล์มมีเรนากับโรมก็ตึงเครียดขึ้น      โรมันจึงได้ฆ่าโอเดนาธุสกับพระอนุชาของพระองค์เสียใน ค.ศ. 266

ราชินีเซโนเบีย (Zenobia) ของกษัตริย์โอเดนาธุสปกครองประเทศต่อไป   พระนางขยายอำนาจต่อไปและท้าทายโรม    ใน ค.ศ.272 จักรพรรดิออเลเรียน (Aulerian) ของโรมเอาชนะกองทัพของปาล์มมีเรนาได้   นี่จึงเป็นจุดยุติของการปกครองของราชวงศ์อาหรับในปาล์มมีเรนาหรือที่เรียกสั้นๆ ว่าปาล์มมีรา

 

ฆ็อสซานิค (Ghassanids)

เมื่อราชวงศืปาล์มมีราหรือปาล์มมีเรนาสิ้นอำนาจลง   ชนชาวฆ็อสซานิคซึ่งเป็นเผ่าอาหรับอีกเผ่าหนึ่งก็มามีอำนาจอยู่ในซีเรียทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของนครดามัสกัส   โดยมีนครหลวงอยู่ที่นครอัลญาบิยะฮ์ (Al Jabiyah)

ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 พวกฆ็อสซานิคตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกไบแซนไตน์  และมีหน้าที่ทำตัวเป็นรัฐกันชนเพื่อป้องกันการรุกรานของพวกเบดุอิน     จากอิทธิพลของพวกไบแซนไตน์ชาวฆ็อสซานิคจึงเข้ารับคริสต์ศาสนา      ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ราชอาณาจักรฆ็อสซานิคมีความสำคัญที่สุด   กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในระยะนี้คือกษัตริย์อัลฮาริษที่ 2 (Al Harith II – ค.ศ.529-569)

พระองค์ได้ชัยชนะต่อคู่แข่งขันคือกษัตริย์ อัลมันษิร ที่ 3 (Al Mundhir II) ของพวกลัคห์มิด   หลังจากนั้นจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) แห่งไบแซนไตน์ก็แต่งตั้งให้อัลฮาริษเป็นหัวหน้าเหนือเผ่าอาหรับต่างๆ ในซีเรีย

ในการต่อสู้อีกครั้งหนึ่งกษัตริย์อัลมันษิรที่ 3 ได้จับเอาโอรสของอัลฮาริษไปฆ่าบวงสรวงเจ้าแม่อัล-อุซซา        ใน ค.ศ. 544 กษัตริย์อัลฮาริษ จึงแก้แค้นโดยฆ่าอัลมันษิรเสียในการต่อสู้ที่กินิสริน (Qinissrin)

พวกฆ็อสซานิคนั้นถือศาสนาลัทธิโมโนฟีไซท์ (Monophysite) จึงเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพวกฆ็อสซานิคกับไบแซนไตน์

กษัตริย์องค์สุดท้ายคือ ญะบาละฮ์ อัล อะห์ยัม (Jabalah al Ahyam)  พระองค์รบกับพวกมุสลิมโดยเป็นฝ่ายไบแซนไตน์ที่เยอรมุก (Yurmuk) เมื่อฝ่ายมุสลิมเข้าครองซีเรีย   การปกครองของพวกฆอสซานิคก็สิ้นสุดลง

 

ลัคห์มิด (Lakhmids)

ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 3 ได้มีชนเผ่าอาหรับบางเผ่าซึ่งมีเชื้อชาติเยเมน  ซึ่งเรียกตัวเองว่าทานุคห์ (Tanukh) ได้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรตีส  ในตอนปลายศตวรรษที่ 3 ผู้สร้างอาณาจักรลัคห์มิดคือ อัมร์ บินอะดีบินนัสร์ บินเราะบีอะฮ์ บินลัคหม์ (Amr b Adi b Nasr b Rabiah b Lakhm) ได้ตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ที่นครอัลหิรอฮ์ (al Hirah)

ในรัชสมัยของกษัตริย์อิมรออุลก็อยส์ที่ 1 มีอำนาจขึ้น ตอ่มาก็ตกเป็นบริวารของราชวงศ์ซัลซานิคและอาณาจักรลัคห์มิดก็กลายเป็นประเทศกันชนระหว่างเปอร์เซียกับไบแซนไตน์ไป

กษัตริย์ อัล นุอ์มาน (Al Numan) ได้ประหัตประหารประชาชนที่เป็นคริสเตียน    กษัตริย์มันษิรที่ 2 โอรสของนุอ์มานเป็นกษัตริย์อยู่เป็นส่วนใหญ่ของคริสต์ศตวรรษที่ 5 คือใน ค.ศ.418-462

ใน ค.ศ. 421 พระองค์ได้ต่อสู้กับพวกไบแซนไตน์  กษัตริย์มันษิรที่ 3 ก็ยกทัพไปรุกรานเขตแดนไบแซนไตน์และทำความพินาศให้แก่ดินแดนนั้นจนถึงนครอันติออซ (Antioch)

กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้คืออัลนุอ์มานที่ 3 ซึ่งเปลี่ยนไปรับคริสต์ศาสนา   ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 อัลหิรอฮ์กลายเป็นนครในจักรวรรดิเปอร์เซียและการปกครองของราชวงศ์ลัคห์มิดก็ยุติลง

 

กินดะฮ์ (Kindah)

รัฐกินดะฮ์ถูกสถาปนาขึ้นในอาระเบียได้  ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5  ผู้สร้างคืออะกิลอัลมูรอาร์ โดยมีนครหลวงอยู่ที่ฮุจญร์ (Huji)    กษัตริย์ที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรนี้คือฮาริษพระองค์ได้ไปโจมตีอัลหิรอฮ์ใน ค.ศ. 529 แต่ถูกปลงพระชนม์   หลังจากนั้นราชวงศ์และประเทศก็แตกสลายไปในปลายศตวรรษที่ 6

 

สังคม – วัฒนธรรม

สมัยแห่งอวิชชา

โดยทั่วไปในประวัติศาสตร์อาระเบีย  สมัยก่อนอิสลามมาถึงนั้นเรียกว่าสมัยญาฮิลียะฮ์  (Jahiliyah)  หรือสมัยแห่งอวิชชา  สังคมมีลักษณะโบราณดึกดำบรรพ์   ประชาชนไม่มีความสำนึกในชะตากรรมที่สูงส่งของมนุษย์   ถึงแม้ว่าจะมีรัฐบางรัฐถูกตั้งขึ้นในระหว่างนี้ในอาระเบียใต้และตามขอบๆ ของคาบสมุทรก็ตามแต่ก็ยังไม่มีรัฐใดอยู่ด้านในเลย

ผู้คนยังไม่มีรัฐบาลที่เป็นปึกแผ่น   ในประเทศมีนครอยู่ไม่กี่นคร  ผู้คนใช้ชีวิตร่อนเร่ไปเรื่อยๆ แบบชาวเบดุอิน   มิได้ตั้งหลักแหล่ง  กระโจมที่อาศัยแต่ละกระโจมคือครอบครัว    ครอบครัวกลุ่มหนึ่งกลายเป็นตระกูลหนึ่ง   และหลายๆ ตระกูลรวมกันเป็นเผ่าแต่ละเผ่าเป็นโลกของตัวเอง    มีกฎเกณฑ์ในเรื่องเกียรติภูมิ  มีแนวความคิดในเรื่องระเบียบและกฎหมายของตัวเอง

คุณธรรมที่สำคัญคือความจงรักภักดีต่อเผ่า  ความกล้าหาญในอันที่จะต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อรักษาเกียรติของเผ่าไว้  การยกย่องสรรเสริญเผ่าของตน  ความเสมอภาคกันอย่างแท้จริงของสมาชิกในเผ่า  และการปกป้องผู้มาหาที่ลี้ภัยในเผ่า

ความจงรักภักดีต่อเผ่าของตนนำไปสู่ความเป็นปรปักษ์และแข่งขันกันระหว่างเผ่าต่างๆ การวิวาทกันระหว่างเผ่านั้นเกิดขึ้นจากเรื่องปศุสัตว์  ทุ่งเลี้ยงสัตว์ แม่น้ำลำธาร การแข่งม้าและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นๆ   เมื่อเริ่มมีการพิพาทกันสมาชิกทุกคนในเผ่าทั้งสองฝ่ายก็จะต้องเป็นเหยื่อของการพิพาทนั้น     ความอาฆาตพยาบาทและแก้แค้นกันถือว่าเป็นกฎข้อบังคับทางด้านสังคมศาสนาที่แข็งแกร่งที่สุด

ผู้คนมีความสำนึกทางสังคมอยู่น้อย  ไม่ใคร่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม   ในสมัยนั้นอำนาจคือความถูกต้อง   ผู้คนใช้อารมณ์กันมากกว่าใช้เหตุผล  จมอยู่ในความชั่วร้าย  ป่าเถื่อนและไสยศาสตร์ การดื่มเหล้าเมายาและการพนัน   การกินดอกเบี้ยและการค้าขายโดยวิธีที่ไม่ยุติธรรมต่างๆ คือลักษณะของชีวิตด้านเศรษฐกิจ

ผู้หญิงถูกถือว่าเป็นวัตถุไม่มีสถานภาพทางสังคม  ผู้ชายอาจแต่งงานกับผู้หญิงได้หลายๆ คนและสามารถหย่ากับพวกนางได้ตามใจชอบของเขา  ไม่มีข้อห้ามการล่วงประเวณี   สังคมเต็มไปด้วยความทุจริตผิดศีลธรรม

หากลูกผู้หญิงเกิดมาก็คือว่าเป็นโชคร้าย   ดังนั้นทารกเพศหญิงจึงถูกฝังเสียทั้งเป็น    การถือเอาผู้อื่นเป็นทาสมีอยู่มากมาย  ผู้เป็นนายมีอำนาจเหนือความเป็นความตายของทาสของตน   ทาสหญิงต้องตกเป็นนางบำเรอของเจ้านาย

 

ภูมิหลังด้านวัฒนธรรม

วัฒนธรรมของผู้คนแสดงออกในความคล่องแคล่วของการใช้ภาษาและความไพเราะงดงามของบทกวี    ชาวอาหรับมีความภาคภูมิใจในความคล่องแคล่วในการพูดของตนจนถือว่าชนชาติอื่นๆ เป็นเบื้อเป็นใบ้กันไปหมด

พวกเขามีความสามารถยกบทกวีมาประกอบการพูดจาได้อย่างคล่องแคล่ว  นักกวีทำหน้าที่เป็นผู้สร้างความคิดเห็นของประชาชน    พวกเขาร้องเพลงสรรเสริฐเผ่าของเขาเองเสียดสีเยาะเย้ยเผ่าที่เป็นศัตรูอย่างเจ็บแสบ

พวกเขาเขียนบทกวีเพื่อกระตุ้นใจผู้คน   ในบทกวีเหล่านั้นมีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์อยู่มาก  พวกเขาเขียนบทกวีบรรยายถึงสงครามระหว่างเผ่า   เขียนถึงวีรกรรมของคนในเผ่าตน    ร้องเพลงบรรยายความรักที่หยาบโลนเพราะถือว่าการกระทำที่ผิดศีลธรรมก็คือคุณธรรมความดี

มีงานชุมนุมเพื่อท่องบทกวีเป็นประจำปีที่ตำบลอุกาช (Ukaz) ซึ่งอยู่ระหว่างอัลนัคละฮ์ (al-Nakhlah) กับอัฏฏออีฟ (al-Taif) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศซาอุดีอาระเบีย

 

ภูมิหลังด้านศาสนา

ชาวอาหรับเป็นพวกไม่มีศาสนาที่แท้จริง ป่าเถื่อน นับถือพระเจ้าหลายองค์ บูชาเทพเจ้าจำนวนมาก   แต่ละเผ่าต่างก็มีเทพเจ้าของตนเอง   สถานที่ซึ่งเรียกว่ากะอ์บะฮ์ (Kaaba) นั้นเป็นที่รวมแห่งรูปเจว็ด  มีรูปเคารพอยู่ถึง 360 ชิ้น (อัลฮูบัล (Al Hubal) เป็นหัวหน้าของเทพเจ้าเหล่านี้ อัลลาต (Al lat) อัลอุซซา (Al Uzza) และอัลมะนาด (Al Manat) เป็นเทพเจ้าหญิงซึ่งถือกันว่าเป็นบุตรีของพระเจ้า   เทพเจ้ามีรูปร่างต่างๆ กัน เช่น เทพวัดด์ (Wadd) มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ผู้ชายเทพไนลา (Naila) และเทพสุวา (Suwa) มีรูปร่างเหมือนผู้หญิง ยากุษ (Yaguth) มีรูปเป็นสิงโต ยาอุก (Yaug) มีรูปร่างเป็นม้า   นัสร์ (Nasr) มีรูปร่างเป็นเหยี่ยว

ชาวนครส่วนใหญ่ทำอาชีพพ่อค้าวาณิชย์   พวกเขาส่งกองคาราวานบรรทุกสินค้าไปยังเยเมน   ซีเรียและอื่นๆ ในฤดูร้อนครั้งหนึ่งและในฤดูหนาวครั้งหนึ่ง

การบริหารนครเป็นแบบคณาธิปไตย  กิจการของนครดำเนินการโดยสภาผู้อาวุโส   นักธุรกิจชอบสะสมเงินทอง มีการกินดอกเบี้ยกันเป็นของธรรมดา   คนรวยเอาเปรียบคนจน  นายทุนได้รับผลกำไรอย่างมาก

พวกเขาให้หัวหน้าคาราวานและพ่อค้าขอยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยแพงๆ จนถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียว   สังคมแห่งนครมักกะฮ์จมอยู่ในวัตถุดิบนิยมอย่างแรง  ประชาชนแข่งขันหาเงินจนไม่มีความสำนึกถึงศีลธรรมและคุณค่าทางสังคมกันเลย

 

 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *