INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (30)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (30)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

มันก็จะกลายเป็นของไร้ค่า ดังนั้นมันจึงถูกขว้างทิ้ง และผู้คนก็เหยียบย่ำ มันไป…” (มัดธาย 5:13)

“พวกนักบวชและพวกปุโรหิตปฏิเสธท่าน ดังที่พวกเขาได้เคยปฏิเสธ จอห์น เดาะแบบทิสท์มาแล้ว ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะยอมรับจอห์นว่าเป็น ศาสดาก็ตาม” (มัดธาย 21:24)

การวิจารณ์บรรดานักบวชของท่านนั้น อาจชี้ให้เห็นได้อย่างชัดแจ้ง จากคำพูดเหล่านี้ของท่านที่เทศนาต่อผู้คน นั้นคือ

“บรรดาธรรมาจารย์และฟาริชาย เป็นผู้มีอำนาจในทางการตีความ กฎหมายของโมเสส ดังนั้นพวกท่านต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามทุกสิ่งที่พวก เขาบอกกับท่านให้กระทำ แต่จงอย่าลอกเลียนการกระทำของพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามที่พวกเขาสั่งสอน พวกเขาได้ผูกน้ำหนักไว้ บนหลังของผู้คน ซึ่งหนักและยากที่จะแบกรับมันไว้ได้ ถึงกระนั้นพวกเขา ก็ไม่เคยมีความตั้งใจ ถึงแม้จะขยับนิ้วเข้ามาช่วยเหลือพวกเจ้า เพื่อการ แบกรับน้ำหนักเหล่านี้ พวกเขากระทำทุกสิ่งเพื่อให้ผู้คนได้เห็นการกระทำ ของเขา จงดูผ้ารัดศีรษะที่พวกเขาผูกมันไว้บนหน้าผากและที่แขน ซึ่งมีข้อ ความตามพระคัมภีร์ และจงสังเกตดูซิว่าพวกเขามีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน จงสังเกตดูเช่นกันว่า พวกเขาห้อยพู่ไว้บนเสื้อคลุมของพวกเขา ว่ามันยาว สักขนาดไหน พวกเขาชอบนั่งในที่ที่ดีที่สุดเมื่อไปในงานกินบุญและจองที่ ไว้ในโบสถ์ พวกเขารักที่จะให้มีการต้อนรับอย่างมีเกียรติในร้านตลาด และชอบที่จะให้ผู้คนเรียกว่า “อาจารย์” พวกเจ้าที่เป็นธรรมาจารย์และ ฟาริชาย มันจะแย่กันสักขนาดไหน เจ้าผู้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก !

เจ้าลงกลอนประตูที่เปิดไปสู่อาณาจักรของสวนสวรรค์ใส่หน้าผู้คน และตัวเจ้าเองก็ไม่เข้าไป หรือเจ้าก็ไม่อนุญาตให้ผู้คนเหล่านั้นเข้าไป ทั้งๆ ที่พวกเขาพยายามจะเข้าไป เจ้าผู้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก! เจ้าได้ให้แก่ พระเจ้าเพียงหนึ่งในสิบ ถึงแม้จะเป็นไม้พวกสมุนไพรตามฤดูกาล เช่นต้น

มินต์ รากไม้และใบไม้ แต่เจ้ากลับละเว้นที่จะเชื่อฟังคำสอนของกฎหมาย ที่สำคัญจริงๆ เช่น ความยุติธรรมและความเมตตาธรรม และความซื่อสัตย์ สุจริต สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าควรปฏิบัติโดยปราศจากการละเว้นในคำสั่งอื่นๆ อีก

มัคคุเทศน์ผู้มืดบอด! เจ้าค่อยๆ ซ้อนเอาแมลงวันออกจากจานอาหาร ของเจ้า แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว เจ้ามันช่างแย่เสียเหลือเกินเจ้าพวก ธรรมาจารย์และฟาริชาย! เจ้าพวกหน้าไหว้หลังหลอก! เจ้าเสมือนหนึ่งหลุม ฝังศพที่ขัดล้างเสียจนขาวสะอาดซึ่งดูสวยงามแต่ภายนอก แต่ข้างในนั่นซิ! เต็มไปด้วยกองกระดูกและศพที่เน่าเปื่อย ในวิธีทางเดียวกัน ด้านนอกนั้น พวกเจ้าดูเป็นคนดีกับทุกๆ คน แต่ด้านในนั้นเจ้าเต็มไปด้วยความหน้าไหว้ หลังหลอกและบาปกรรม เจ้าพวกธรรมาจารย์และฟาริชาย เจ้าจะแย่กัน ไปสักขนาดไหน เจ้าพวกหน้าไหว้หลังหลอก! เจ้าทำหลุมศพของบรรดา ศาสดาเสียอย่างสวยงาม และประดับประดาอนุสาวรีย์ของบรรดาผู้ใช้ชีวิต ในทางที่ดี และพวกเจ้าอ้างว่า ถ้าหากพวกเจ้ามีชีวิตอยู่ในสมัยบรรพบุรุษ ของพวกเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่กระทำเยี่ยงที่พวกเขาได้กระทำและฆ่าสังหาร บรรดาศาสดาเสีย

ดังนั้นเจ้าจึงยอมรับอย่างแท้จริงว่า เจ้าเป็นลูกหลานของบรรดาผู้ที่ ได้ฆ่าสังหารเหล่าศาสดา เอาเลยจัดการตามที่บรรพบุรุษของเจ้าได้เริ่มไว้ ให้เสร็จสิ้นไปเสีย! เจ้าพวกงูร้าย! เจ้าจะหลีกให้พ้นไปจากการลงโทษใน นรกได้อย่างไรหนอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็ม! เจ้าสังหารเหล่าศาสดาและ ขว้างปาศาสนทูตที่พระเจ้าส่งมาให้พวกเจ้าด้วยก้อนหิน!

หลังจากนั้น ท่านได้ทำนายถึงการพังพินาศของวิหารด้วยคำพูดเหล่า นี้ ด้วยกับการชี้ไปที่ตัวอาคารพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าอาจดูว่าสบายดีภาย ใต้สิ่งเหล่านี้ ฉันจะบอกให้เจ้าทราบว่า จะไม่มีก้อนหินแม้เพียงก้อนเดียว ที่นี่คงเหลืออยู่ในที่ของมัน ก้อนหินทุกก้อนที่นี่จะต้องถูกทลายลงมา”

เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ว่า ทั้งๆ ที่ชาวคริสต์ต่างก็รู้ดีว่าพระเยซูไม่

ได้เป็นคนของพวกยิวทั้งสี่กลุ่มนี้ และในขณะเดียวกัน คนยิวทั้งสี่กลุ่มนี้ ต่างก็เป็นผู้ปฏิเสธในการเป็นศาสนทูตของท่าน และปฏิเสธคัมภีร์อินญีลที่ ท่านนำมาจากพระเจ้า เพื่อมาเทศนาสั่งสอนแก่พวกยิวโดยเฉพาะ แต่ความ แปลกใจอาจจะคลายลงไปเมื่อได้รู้ว่า บรรดาชาวคริสต์หลังจากพระเยซูจาก โลกไปหนึ่งร้อยปีแล้ว บรรดาผู้คนที่ยอมรับคำสอนของท่านล้วนเป็นพวก เยนไทล์และชามาริทานที่ไม่ใช่คนยิว ดังนั้นชาวคริสต์เหล่านี้จึงไม่สนใจพวก ยิวว่าจะเป็นศัตรูกับพระเยซูอย่างไร และในที่สุดชาวคริสต์เหล่านี้จึงได้ยก พระเยซูให้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่ได้มองพระเยซูในฐานะ ที่เป็นชาวบนีอิสรออีล แต่มองท่านว่าเป็นผู้มีพระภาคเจ้า จึงอยู่เหนือความ เป็นยิว ความเป็นชาติ หรือความเป็นมนุษย์ที่ต้องกินอยู่หลับนอน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ปฏิบัติตามคัมภีร์เตารอตของโมเสส

ความเชื่อข้างต้นจึงถือได้ว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งของการฉาบความเท็จทับ ไว้บนความสัตย์จริง ซึ่งนับเป็นความสลับซับซ้อนที่เพิ่มทวีมากยิ่งขึ้นไป อีก และยากยิ่งต่อชาวศาสนิกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาวยิว ชาวคริสต์และชาวมุสลิม จะมาเข้าใจถึงเรื่องนี้ได้อย่างถึงแก่น

นับเป็นความมหัศจรรย์ของอัล กุรอานอีกประการหนึ่งที่พอสังเกต เห็นได้ก็คือ พระเจ้าทรงเรียกร้องมายังชาวยิวในอัล กุรอานด้วยกับคำกล่าว ที่ว่า ‘ยาบนีอิสรออีล” ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมดรวม 4 ครั้ง ตรงกับจำนวนของ พวกยิว 4 กลุ่มดังที่กล่าวถึงข้างต้น และพวกยิวทั้ง 4 กลุ่มนี้ ล้วนแล้วแต่ เป็นผู้สืบวงศ์ตระกูลมาจาก 12 เผ่าพันธุ์ของบนีอิสรออีลทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อ นำโองการที่ขึ้นต้นด้วยกับวลีที่ว่า “ยาอะฮ์ลุลกิตาบ” และ “ยาอัยยุฮัลละซี นะอูตุลกิตาบ” ซึ่งมีทั้งหมดรวม 7 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีอีกโองการหนึ่ง ที่หมายถึงบรรดาผู้ฝ่าฝืนคำบัญชาของอัลลอฮ์ในบางประการและปฏิบัติตาม ในบางประการ ซึ่งพวกเขาจะถูกลงโทษไปตามที่พวกเขาฝ่าฝืน และได้รับ รางวัลตอบแทนเฉพาะในสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้ ซึ่งหมายถึงชาวคัมภีร์

และชาวมุสลิมด้วยเช่นกัน หากหมายถึงกาฟิรูนโดยทั่วๆ ไปที่ปฏิเสธพระ เจ้า พวกเขาย่อมไม่มีความดีที่จะได้รับการตอบแทน นั้นคือโองการที่ว่า

“ยาอัยยุฮัลละซีนะกะฟะรู…. ซึ่งมีความหมายว่า

โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธ! จงอย่าได้มารบเร้าเอ่ยปากแก้ตัว ในวันนี้เจ้า จะได้รับรางวัลตอบแทนเฉพาะตามที่เจ้าประกอบไว้เท่านั้น

(อัล กุรอาน 66:7)

ดังนั้นคำขึ้นต้นด้วยวลีต่างๆดังกล่าวนี้ จึงมีด้วยกันทั้งหมดรวม 12 ครั้ง ซึ่งเท่ากับจำนวน 12 เผ่าพันธุ์ของบนีอิสรออีลพอดี!!!!

เมื่อได้รับรู้พอเป็นสังเขปถึงวิธีการที่พญามารใช้เล่ห์กลต่างๆ เพื่อ ฉาบความมดเท็จไว้ด้วยกับเสื้อคลุมของคุณธรรมความดีอย่างไร เช่น ข่มขู่ ไม่ให้บริจาคทานเพื่อว่าจะได้ร่ำรวยอยู่ต่อไป ลวงล่อให้ทำชู้เพื่อพิสูจน์ ถึงความเป็นชายชาตรี ลวงล่อให้คดโกงด้วยการจินตนาการถึงการนำเงิน ไปใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ การดื่มสุราเป็นความสุขเมื่อเกิดมึนเมา ส่งเสริม ในความชั่วช้าโดยทำให้มนุษย์เห็นเป็นสิ่งดีงาม และห้ามปรามกันในความ ดีงามที่แท้จริงต่างๆ ยั่วยุให้เปลี่ยนบัญญัติศาสนา เช่น ห้ามมิให้มีการลง โทษประหารชีวิตแก่อาชญากรเพราะเพื่อความมีมนุษยธรรม การกู้ยืมเงิน โดยคิดดอกเบี้ยทบเท่าเป็นการช่วยเหลือให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูเพราะมีเงินเดิน สะพัด ศีล 5 เป็นเพียงข้อห้ามแต่ถ้าดื่มกิน เล่นและเสพแต่พองามก็ไม่เป็น อะไรเพราะเป็นความสุขของชีวิต การฟุ้งเฟ้อและสุรุ่ยสุร่ายและการบริโภค อย่างมากมาย เป็นการแสดงออกถึงความมีฐานะดีเป็นเศรษฐี จะได้เป็นผู้ มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ เช่นไฮโซ และที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการลวงล่อให้ มีเทวรูปประจำตัวราคาแพงๆ และเก่าๆ เพื่อวอนขอความร่ำรวยความสำเร็จ ต่างๆ และเป็นที่พึ่งในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

มันเป็นเรื่องน่าขำสักขนาดไหน ที่ภารกิจของพระเยซูคือการเรียก ร้องเชิญชวนพวกยิวที่เป็นแกะหลงฝูงให้กลับคืนสู่การปฏิบัติตามคัมภีร์

เตารอตที่เที่ยงแท้ของโมเสส และกล่าวประณามพวกยิวที่ฉ้อฉลไว้อย่าง เผ็ดร้อนตลอดชีวิตของท่าน และพวกยิวเหล่านี้ต่างก็ กล่าวอ้างว่า พวกเขา ได้นำเอาพระเยซูไปตรึงกางเขนแล้ว เพื่อให้การตายของท่านเป็นการตาย เพื่อไถ่แทนบาปโทษของพวกเขา แต่มันเป็นความเจ็บปวดที่รักษาไม่หาย สำหรับชาวคริสต์ทั้งมวลที่เชื่อว่าพระเยซูถูกนำตัวไปตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาป มนุษย์ ดังนั้นย่อมหมายความว่าบรรดาชาวคริสต์จะทำบาปอะไรก็ตามพระ เยซูจะไถ่บาปให้ทั้งหมด รวมถึงการละเมิดบทบัญญัติ 10 ประการของโมเสส ด้วย มันช่างวิเศษอะไรเช่นนั้น! ที่กลับมองเรื่องนี้ว่าเป็นคุณธรรมความดี ทั้งๆ ที่เป็นการกระทำในแบบของผู้ปฏิเสธอย่างชัดๆ ดังปรากฏอยู่ในบท ที่ 66 โองการที่ 7 ของคัมภีร์อัล กุรอานดังกล่าวแล้ว และในมัทธิว 5:17- 20

ดังนั้น บรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงและประกอบแต่ความดีงาม จะ สามารถมองเห็นถึงความสลับซับซ้อนที่พญามารได้ชักใยของมันไว้เพื่อ คอยดักจับมนุษยชาติให้ตกเป็นเหยื่อของมัน ดุจใยของแมงมุมได้อย่าง ชัดเจน และเล็งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทำไมชาวยิว 70 จำพวก ชาวคริสต์ 71 จำพวก และชาวมุสลิม 72 จำพวก จึงต้องตกเข้าไปในกับดักของพญา มารและกลายเป็นพลพรรคของมันอย่างน่าอนาถ ถึงกระนั้นพระเจ้าทรงแจ้ง ให้ผู้ศรัทธาทราบว่าแผนการของมารร้ายที่นำเสนอต่อมนุษย์ เพื่อให้ยึดผู้ คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์นั้น มันอ่อนแอดุจใยแมงมุม เพราะบ้านที่อ่อนแอ ที่สุดก็คือบ้านของแมงมุมนั่นเอง (อัล กุรอาน 29:41) ซึ่งเรื่องนี้พระเจ้าทรง ยืนยันไว้ด้วยพระองค์เองว่า ไม่มีผู้ใดจะสามารถเข้าใจถึงเรื่องสลับซับซ้อน เหล่านี้ได้ นอกจากผู้ที่เป็น “อาลิม” หรือผู้รู้เท่านั้น

ดังนั้นผู้รู้จึงตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า ผู้คนทั้งหมดรวม 213 พวก ของชาวยิว ชาวคริสต์และชาวมุสลิม เป็นผู้คนประเภทใด และทำไมจึง ต้องกลับกลายเป็นชาวไฟนรกทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งสามกลุ่มต่างมีคัมภีร์ของ

พระเจ้าอยู่ในมือ

โปรดศึกษาได้ด้วยตนเองจากซูเราะฮ์อัล อังกะบูต (แมงมุม) บทที่ 29 โดยเฉพาะโองการที่ 41 42 และ 43 มันหมายความเช่นใด !!

บทที่ 29 โองการที่ 41 บทที่ 29 โองการที่ 42 และบทที่ 29 โองการ ที่ 43 นั้นคือ (29 + 41) + (29 +42) + (29 +43) = (70 + 71 + 72) = 213 ถ้าหากผู้หนึ่งประสงค์จะรู้ว่าทำไมประชาชาติของศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งสามท่านรวม 213 จำพวก จึงต้องมีสภาพกลายเป็นชาวนรก ก็จงเปิด คัมภีร์อัล กุรอานศึกษาได้จากโองการที่ 213 ของบทที่ 2 ดังได้เคยกล่าว ถึงแล้ว นั่นคือ เมื่อได้รับรู้ถึงสัจธรรมความจริงจากพระเจ้าโดยผ่านทาง คัมภีร์ของพระองค์แล้ว จึงเกิดความอิจฉาริษยาในหมู่พวกเขา

ดังนั้นความสำเร็จที่ถือได้ว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดของมันที่มีต่อ มนุษย์ก็คือ การล่วงล่อให้มนุษย์กราบไหว้เทวรูป รูปเคารพ เจว็ด ดวงเดือน ดวงตะวัน ธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น นั้นก็คือให้มนุษย์กราบกรานสิ่งใดก็ ตามที่ไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเดชานุภาพ ก็แล้วกัน

การที่มนุษยชาติจะไปกราบกรานพระเจ้าจอมปลอมเหล่านี้ ณ ที่ใด บนโลกนี้ พญามารมันยังไม่มีความสุขหรือหัวเราะเสียงดังลั่นสุดๆ เท่ากับ ที่มันได้เห็นมวลมนุษย์มุ่งมากราบกรานเทวรูปจำนวน 360 รูปที่มีชื่อของ บางตัวระดับใหญ่ๆ ของมัน คือ ลาต, อุชชาและมานัต และที่เป็นหัวหน้า ใหญ่สุดก็คือฮุบัล ซึ่งเป็นเทวรูปประจำตระกูลบนีอุมัยยะฮ์ ผู้สืบเชื้อสาย มาจากท่านอัดนาน ผู้เป็นต้นตระกูลคนหนึ่งของชาวอาหรับเช่นกัน ซึ่งเทวรูป ทั้งหมดนี้พญามารมันได้นำมารวมกันไว้ข้างในบ้านของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นบ้าน แห่งคุณธรรมความดีหรือที่รู้จักกันในนาม “บัยตุลลอฮ์” หรือ “อัล กะอ์บะฮ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ นครมักกะฮ์หรือเมกกะ นับย้อนหลังไปไม่ต่ำกว่า 500 ปีก่อนการถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด

นี่คือความหมายที่แท้จริงของชื่อของบทที่ 8 ดังที่ว่า พญามารมัน

ได้ใช้เล่ห์กลของมัน ฉาบความมดเท็จไว้ด้วยกับเสื้อคลุมของคุณธรรม ความดีได้อย่างไร !!!

ในที่สุดอาณาจักรแห่งความชั่วร้ายของมัน ที่มันได้เข้ายึดกุมนคร เยรูซาเล็ม และต่อมาจึงได้เข้ายึดครองนครมักกะฮ์ ซึ่งทั้งสองเมืองถือได้ ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งการศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ที่อิบรอฮีมหรืออับ ราฮัมได้สถาปนาขึ้นไว้บนโลกเมื่อสองพันปีก่อนคริสต์ศักราช ดังได้กล่าว ถึงแล้ว จึงได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบเมื่อวันแห่งการพิชิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาถึง นั้นคือ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 630 (20 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.8) อันเป็นวันที่ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กรีธาทัพ บรรดาผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวจำนวน 12,000 คนจากนครมะดีนะฮ์ เพื่อเข้าพิชิตนครมักกะฮ์สำเร็จลงได้ บรรดาเทวรูปน้อยใหญ่ที่สิงสถิตอยู่ ในกะฮ์บะฮ์ถูกท่านอะลี อิบนิ อบีฏอลิบ ทุบทำลายลงจนหมดจดราบคาบ นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ และนครมักกะฮ์จึงเป็นนครที่ไม่อนุญาตให้บรรดา ผู้กราบไหว้เทวรูปคนใด ย่างเท้าของพวกเขาไปบนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ นี้ได้อีกเลยนับได้ 1,400 กว่าปีมาแล้ว

เมื่อท่านศาสดามุฮัมมัดได้เข้าพิชิตมักกะฮ์ และสถาปนาให้เป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียวแล้ว จากนั้นผู้ ปกครองแห่งนครเยรูซาเล็มจึงยอมจำนนต่ออำนาจของอิสลาม มัสยิด อัล อักซอ ซึ่งเป็นมัสยิดที่สำคัญแห่งที่สามของโลกอิสลาม จึงถูกใช้เป็น สถานที่แห่งการเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียว ดังที่เคยเป็นมาดังเดิมนับ จำเนียรกาล นับจากกาลสมัยของศาสดาอิสมาอีลและศาสดาอิสฮาก ผู้ซึ่ง เป็นศาสดาองค์ที่ 8 และที่ 9 ตามลำดับ ดังนั้นชื่อของมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองแห่งของโลกจึงปรากฏอยู่ในบทที่ 17 (8 + 9) ของอัล กุรอาน หรือ ซูเราะฮ์อัล อิสรออ์ (การขึ้นสู่เบื้องสูง) เพื่อรับพระบัญชาในการนมาช ซึ่งมี จำนวน 17 รอกะอัตต่อวันโดยตรงจากพระเจ้า ณ ชิดเราะตุลมุนตะฮา อัน

เป็นวิธีการเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวของบรรดาผู้ศรัทธา

ดังนั้น สัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งของการเคารพภักดี ต่อพระเจ้าองค์เดียวก็คือ แท่นยืนหรือ มะกอม อิบรอฮีม ของศาสดาองค์ ที่ 7 ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ กำแพงด้านตะวันออกของอัล กะบะฮ์ และ สัญลักษณ์นี้ จะได้ปรากฏเป็นแท่นยืนที่ยกสูงที่บรรดาชายหนุ่มแห่งสวน สวรรค์จะใช้ยืนเพื่อเจรจากับชาวนรกที่มีพญามารเป็นหัวหน้าของพวก เขา ก่อนที่พวกมันจะถูกนำตัวเข้าสู่ขุมนรกทั้ง 7 ชั้นที่มีไฟอันร้อนแรง ซึ่ง รายละเอียดของเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในบทที่ 7 ซูเราะฮ์อัล อะฮ์รอฟ ด้วยเหตุ ประการ ฉะนี้ที่อัลลอฮ์ทรงตั้งชื่อซูเราะฮ์หนึ่งให้เป็นชื่อของศาสดาอิบรอฮีม เพื่อ เป็นเกียรติยศอันสูงส่งให้กับท่าน ณ บทที่ 14 (7 + 7) อิบรอฮีม!!!

เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เหล่านี้นับเป็นอีกวาระหนึ่งทีพญามารต้อง ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและหลบหนีไปไกลสุดขอบฟ้า โดยเฉพาะวัน เกิดของท่านศาสดามุฮัมมัดซึ่งตรงกับวันที่ 17 รอบิอุลเอาวัล ตรงกับปีช้าง (ค.ศ. 570) เป็นเหตุให้บรรดาเจว็ดรูปเคารพและเทวรูปทั้งหลายทั่วทุกมุม โลกต่างล้มคว่ำพินาศลงพร้อมกับผู้คนที่กราบไหว้มัน

ถึงกระนั้นพญามารยังคงไม่ยอมจำนน ซึ่งมันยังออกฤทธิ์ออกเดช ที่มันเคยขอกับพระเจ้าไว้แต่เดิม เพื่อลวงล่อลูกหลานของอาดัมให้ไปสู่ความ หลงทางพินาศสิ้นอยู่ต่อไป

ดังนั้น ภายหลังจากการประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัดประชาชาติ ของศาสดาอิบรอฮีมจึงถูกแยกออกเป็นสามกลุ่มอย่างชัดเจน นั้นคือ ยิว คริสเตียนและมุสลิม ซึ่งทั้งสามกลุ่มใหญ่ของโลกคือเป้าหมายที่พญามาร มุ่งเข้าหา เพื่อสร้างความแตกแยกและความเป็นศัตรูอันร้ายกาจต่อกันให้ กับพวกเขา นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้และในวันหน้าที่จะมีมา

พญามารได้สร้างความชั่วร้ายให้กับประชาชาติต่างๆ ของโลกอย่าง ไร ควรที่จะต้องนำไปกล่าวไว้ในบทต่อไป.

 

 

 

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *