INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

อิหร่านศึกษา : การท่องเที่ยว วัฒนธรรม นวัตกรรมและการเมือง ตอนที่๖

อิหร่านศึกษา : การท่องเที่ยว วัฒนธรรม นวัตกรรมและการเมือง ตอนที่๖

 

ประเสริฐ สุขศาส์นกวิน

อาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์  วทส.

 

อิหร่านกับพลังงานนิวเคลืยร์เพื่อสันติ (ตอนที่๑)

ปัจจุบันอิหร่านได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และผงาดขึ้นเป็นประเทศชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยทั้งด้านอุตสาหกรรมและด้านวิทยศาสตร์ และประเทศอิหร่านยังมีท่าทีว่าได้มีการสร้างโรงงานนิวเคลียร์เพื่อเตรียมชดเชยแหล่งพลังงานจากน้ำมัน ซึ่งนั่นคือเป้าหมาย เพื่อเป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ   โดยใช้สโลแกนว่า

พลังงานนิวเคลียร์สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์สำหรับใครบางคน และตลอดช่วงก่อนการถูกลงโทษทางเศรษฐกิจ อิหร่านแสดงความบริสุทธิ์ใจมาตลอดว่ามิได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์และยินดีจะเจรจาพูดคุยกับนานาประเทศและพร้อมที่จะให้องค์กรพลังงานนิวเคลียร์ (IAEA)มตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธ์ในเรื่องนี้

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังการปฏิวัติอิสลามได้เกิดขึ้นในอิหร่าน ประเทศสหรัฐอเมริกาได้แสดงการคัดค้านในเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่านและหันมาเล่นงานอิหร่านทางเศรษฐกิจ โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มี เช่น  องค์กรระหว่างประเทศ สหประชาชาติ ยุโรป  ให้ร้ายอิหร่านว่าเป็น “รัฐสนับสนุนการก่อการ้าย” และกล่าวหาว่า อิหร่านพยายามแสวงหา การครอบครองอาวุธร้ายแรงและเป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่นในเดือนกันยายน ปี2001 องค์กรจารกรรมกลางของสหรัฐรายงานว่าอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธร้ายแรงและอิหร่านยังขอความช่วยเหลือจากจีนและรัสเซียในเรื่องพัฒนาอาวุธที่ทันสมัย  และในเดือนตุลาคม ปี2007 สหรัฐเพิ่มมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ  ต่ออิหร่านในข้อหา “ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย และพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์”  ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานอันชัดแจ้งหรือเป็นที่ยืนยัน แต่เป็นเพียงข้อกล่าวหาและการสงสัยเพื่อเป็นข้ออ้างในการจะจัดการอิหร่าน  แต่ทว่ากลับกันในขณะที่สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลต่างมีอาวุธร้ายแรงไว้ข่มขู่ประเทศเล็ก ๆ ในตะวันออกกลาง แม้แต่ สหรัฐอเมริกาเองก็เคยใช้อาวุธนิวเคลียร์มาแล้วที่ญี่ปุ่นและเอกสารลับเผยว่ามีการเตรียมการใช้ในสงครามเวียดนาม และในเรื่องพลังนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่าน แท้จริงเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว นายเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ยังสนับสนุนให้อิหร่านสร้างโรงงานนิวเคลียร์เพื่อเตรียมชดเชยแหล่งพลังงานจากน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งนั่นคือเป้าหมายเดิมที่อิหร่านยืนยันมาตลอดว่า เป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ(เดอะพับลิค โพสต์ :อิหร่านกับบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์)

นางเฮลลารี คลินตัน ได้ออกหนังสือพ๊อกเค๊ดบุคชื่อ”Hard Choices by Hillary Clinton”ได้วิจารณ์อิหร่านและพูดถึงปัญหาและอุปสรรคของการไม่บรรลุการเจรจาปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านว่าเนื่องจากความกร้าวและความไม่มีบุคลิกการประณีประณอมของอิหร่านและความไม่จริงใจของอิหร่านเอง    เธอกล่าวว่า”ไม่มีเหตุผลเลยในการจะไว้วางใจอิหร่าน และอิหร่านจะฉวยโอกาสนี้เตะถ่วงและเบี่ยงเบนความสนใจ การเจรจาครั้งใหม่อาจกลายเป็นเหมือนเขาวงกต ที่อิหร่านจะใช้เพื่อซื้อเวลาในขณะที่เข้าใกล้เป้าหมายของการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่จะเป็นภัยคุมคามต่ออิสราเอล บรรดาประเทศเพื่อนบ้านและต่อโลกด้วย”

เธอกล่าวต่ออีกว่า”หากเราอ่อนข้อให้ในครั้งนี้ ก็อาจทำลายงานที่สู้อุตส่าห์ทำมาลายปี จนสามารถสร้างฉันทามติในหมู่ประเทศต่างๆให้ดำเนินมาตรการคว้ำบาตรและเพิ่มแรงกดดันอิหร่าน”

เมื่อปี พ.ศ.2553 องค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และชาติอื่นๆ ได้มีมติคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่าน เพื่อต่อต้านการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ประกอบด้วย การคว่ำบาตรด้านพลังงาน การประกันภัย การขนส่ง การธนาคาร และการคว่ำบาตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นหลักที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอิหร่านมากที่สุด เพราะรายได้กว่าร้อยละ 80 ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมดมาจากการส่งออกน้ำมัน การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจส่งผลให้อิหร่านสูญเสียรายได้จากการส่งออกน้ำมันรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ อิหร่านยังเกิดปัญหาค่าเงินเรียลที่อ่อนค่าลงเรื่อยๆ ปัญหาเงินเฟ้อสูงกว่าร้อยละ 30 และปัญหาการว่างงานสูงกว่าร้อยละ 15 ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนี้ ทำให้ประชาชนอิหร่านเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่และให้รัฐบาลเร่งเจรจากับชาติมหาอำนาจให้ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยเร็ว

และประเด็นในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ถือว่า 187 ประเทศ ที่ลงนามในสนธิสัญญา ไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ในปี 1970 มีหลายประเทศ ที่มีความต้องการใช้พลังงานนิวเคลียร์ ภายใต้ข้อตกลงนี้ จะไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์ วัสดุที่ใช้ทำระเบิดนิวเคลียร์ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยยกเว้นไว้ให้ 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน  ดังนั้นประเทศที่ลงนาม มีความเห็นร่วมกัน ที่จะไม่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ อุปกรณ์เกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์ โดยจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในทางสันติเท่านั้น

การก่อสร้างโรงไฟฟ้าในอิหร่านเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2518 โดยบริษัทจากเยอรมนี แต่งานหยุดลงใน พ.ศ. 2522 หลังการปฏิวัติอิสลามของอิหร่านได้อุบัติขึ้น สัญญาก่อสร้างโรงไฟฟ้าจนแล้วเสร็จมีการลงนามระหว่างอิหร่านกับกระทรวงพลังงานอะตอมของรัสเซียใน พ.ศ. 2538 โดยมีบริษัท Atom stroy export ของรัสเซียเป็นผู้รับจ้างหลัก งานก่อสร้างล่าช้าหลายปีด้วยปัญหาทางเทคนิคและปัญหาทางการเงิน เช่นเดียวกับแรงกดดันทางการเมืองจากตะวันตก หลังการก่อสร้างเกือบหยุดชะงักใน พ.ศ. 2550 ได้มีการบรรลุความตกลงใหม่ ซึ่งอิหร่านสัญญาจะชดเชยค่าก่อสร้างและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นหลังก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้วเสร็จ[2] การส่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เริ่มต้นในปีเดียวกัน โรงไฟฟ้าดังกล่าวเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าแก่สายไฟฟ้าทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554  และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กันยายน โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย เซียร์เกย์ ชมัทโค (Sergei Shmatko) และประธานรอสอะตอม (Rosatom) เซียร์เกย์ คีรีเยนโก (Sergei Kiriyenko)(ข้อมูลจากวิกีพิเดีย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บูเชห์)

โครงการก่อสร้างดังกล่าวถูกมองว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งในแง่ของเทคโนโลยีที่ใช้ สิ่งแวดล้อมทางการเมือง และสภาพภูมิอากาศทางกายภาพที่ท้าทาย โรงไฟฟ้าดังกล่าวถูกมองว่าเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์พลเรือนแห่งแรกในตะวันออกกลาง แม้อิสราเอลจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาหลายทศวรรษแล้วก็ตาม

 

 

 

อิหร่านมีโครงการพัฒนาพลังนิวเคลียร์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะนำมาใช้เป็นพลังงานทางเลือกอีกทางหนึ่งนอกจากการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลังจากคณะผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) แห่งสหประชาชาติ เข้าไปตรวจสอบโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน พบว่าโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่อิหร่านสร้างขึ้นมานั้น นอกจากสามารถผลิตไฟฟ้าแล้วยังสามารถผลิตวัตถุดิบต่างๆที่ใช้ทำระเบิดปรมาณูได้อีกด้วย ซึ่งปัจจัยตรงนี้เองที่ทำให้สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยุโรป และสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) เข้าไปตรวจสอบว่าอิหร่านมีเจตนาที่จะพัฒนาพลังงานปรมาณูเพื่อสันติจริงๆ ตามที่ตนเองได้กล่าวอ้างหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาทางการอิหร่านไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ที่เข้าไปทำการตรวจสอบแต่อย่างใด ทำให้สถานการณ์เกิดความตึงเครียดขึ้น (ประชาคมโลก (Global Community คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย  www.banjomyut.com)

ปัญหาเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านเริ่มตั้งเค้าตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์ตึกเวิรลด์เทรด เซ็นเตอร์ ถล่ม โดยสหรัฐได้เปิดประเด็นว่า อิหร่านลักลอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ดังนั้นสหรัฐจึงดึงสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) เข้ามาตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งแม้ว่าอิหร่านจะแสดงจุดยืนว่าการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติของตนเป็นสิทธิที่พึงกระทำตามอธิปไตยก็ตาม แต่สหรัฐก็ยังบีบให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในหลายด้าน(ประชาคมโลก (Global Community คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย  www.banjomyut.com)

สิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม  พ.ศ.2549 เมื่ออิหร่านเดินเครื่องโรงงานวิจัยนิวเคลียร์ที่เมืองนาทานซ์ อีกครั้ง โดยไม่สนคำสั่งห้ามของสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) พฤติกรรมของอิหร่าน ทำให้ IAEA ส่งรายงานไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่า อิหร่านใช้โรงงานนิวเคลียร์ที่เมืองนาทานซ์ เป็นแหล่งเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ซึ่งในเดือนเมษายน พ.ศ.2549 อิหร่านก็ออกมาเปิดเผยเองว่า การเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในโรงงานแห่งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี(ประชาคมโลก (Global Community คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย  www.banjomyut.com)

คำเปิดเผยของอิหร่าน จุดชนวนให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ สืบหาข้อมูลนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เสนอร่างมติไปยังคณะมนตรีฯ เรียกร้องอิหร่านยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม มิเช่นนั้นจะถูกตอบโต้ด้วยมาตรการที่หนักขึ้น แต่รัฐสภาอิหร่านโต้กลับโดยขู่ว่าจะถอนตัวจากสนธิสัญญาแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ถ้ามหาอำนาจกดดันอิหร่านมากกว่านี้

สหรัฐอเมริกาพยายามใช้วิธีการทูตเกลี้ยกล่อมอิหร่านให้ยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ โดยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2549 สหรัฐเสนอร่วมมือกับสหภาพยุโรปที่จะเปิดเจรจาโดยตรงกับอิหร่าน แต่ก็มีเงื่อนไขให้อิหร่านยกเลิกการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมก่อน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่อิหร่านปฏิเสธอยู่เสมอ

ในที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2549 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้คว่ำบาตรต่ออิหร่าน ที่เดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากนานาชาติ โดยมีการห้ามการนำเข้า-ส่งออกวัสดุที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ และหยุดความเคลื่อนไหวทางการเงินที่คาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ และขีดเส้นตายภายใน 60 วันเพื่อให้อิหร่านยุติการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง เพราะมิฉะนั้นแล้วคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ  จะเพิ่มระดับความรุนแรงของการคว่ำบาตรต่ออิหร่านมากขึ้นไปอีก

สถานการณ์นิวเคลียร์อิหร่านก็ยังคงดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะอิหร่านยังคงดำเนินการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของตนไปเรื่อยๆ แม้ว่าถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 ซึ่งครบกำหนดเส้นตาย 60 วันที่สหประชาชาติบีบบังคับให้อิหร่านยอมจำนนในการยุติโครงการนิวเคลียร์แล้ว แต่อิหร่านก็เพิกเฉย และยังคงเดินหน้าสานต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของตนต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการท้าทายสหประชาชาติและมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ร่วมประชุมหารือกันอีกครั้งในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 และมีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมครั้งที่ 2 โดยเป็นการเพิ่มอำนาจแบนการส่งออกอาวุธทั่วไปของอิหร่าน และห้ามอิหร่านเคลื่อนไหวด้านการเงินในบัญชีที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งธนาคารข้ามชาติของอิหร่าน เช่น แบงก์เซปาห์ และบัญชีของผู้บัญชาการกองกำลังปฏิวัติอิหร่าน ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางการทหารของอิหร่านนอกประเทศ

อย่างไรก็ตามหลังจากที่สหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรต่ออิหร่านแล้ว อิหร่านยังคงเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมต่อไป โดยในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2550 อดีตประธานาธิบดีมะห์มูด    อะห์มาดีเนจาด แห่งอิหร่านได้ประกาศยกระดับการเสริมคุณภาพแร่ยูเรเนียมจากขั้นทดลองในทางเทคนิค เป็นขั้นการผลิตระดับอุตสาหกรรม ซึ่งอะห์มาดีเนจาดยังคงย้ำอยู่เสมอว่ามีสิทธิที่จะพัฒนาโครงการนิวเคลียร์เพื่อใช้ในทางสันติและยืนยันว่าต้องการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเท่านั้น เพื่อให้สามารถส่งออกก๊าซและน้ำมันได้มากขึ้น และอิหร่านจะไม่ค้อมหัวให้แก่แรงกดดันที่จะให้ตนหยุดกิจกรรมด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นสิทธิที่จะทำได้ตามสนธิสัญญาห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) อย่างไรก็ตาม ชาติตะวันตกก็ยังคงแย้งว่าอิหร่านต้องพิสูจน์ว่าโครงการของตนไม่ได้มีจุดประสงค์ทางทหารเสียก่อนจึงจะใช้สิทธิ์นี้ได้

ย้อน ไปเมื่อปลายปี ค.ศ.1970 เกิดการปฏิวัติอิสลามในประเทศอิหร่านโดยการนำของ “อายาตุลเลาะฮ์ อิมามโคมัยนี” ดังนั้นเริ่มจากใน ยุคสมัยของประธานาธิบดี  อาลี อัคบาร์ ฮาชิมี ราฟซันจานี (Ali-Akbar Hashemi Rafsanjani) ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลชุดแรกที่รื้อฟื้นโครงการนิวเคลียร์หลังจากหยุดไปหลายปี พร้อมกับประกาศต่อสาธารณชนเรื่อยมาว่า ไม่ใช่โครงการเพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แต่เป็นการสร้างพลังงานเพื่อสันติ และ โครงการนิวเคลียร์นี้ก็สร้างความกังวลต่อชาติตะวันตกอย่างมากเมื่อ “มาห์มุด อาห์มาดิเนจาด” ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 2005 โดยอาห์มาดิเนจาดมาพร้อมกับนโยบายแข็งกร้าวต่อชาติตะวันตกและประเทศอิสราเอล สั่งเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์เต็มกำลัง ประกาศว่าความก้าวหน้าด้านนิวเคลียร์ถือเป็นเกียรติภูมิของชาติ

จาก การเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่านได้เข้มข้นขึ้นใน สมัยการบริหารประเทศของ อาห์มาดิเนจาด ทำให้โครงการมีความก้าวหน้าอย่างมาก  สหรัฐและบางประเทศในยุโรปถือว่าโครงการพัฒนานิวเคลียร์อิหร่าน “เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคตะวันออกกลาง” ในขณะเดียวกัน อิหร่านก็เชื่อว่าตะวันตกโดยรวม โดยเฉพาะสหรัฐฯ เป็นเสมือน “ศัตรูตัวฉกาจของอิสลามและอิหร่าน”

กระทั่ง เมื่อ ดร.ฮะซัน รูฮานี (Dr.Hassan Rohani) ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอิหร่านคนล่าสุด โดยได้รับคะแนนการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นจากประชาชน และถือว่ารูฮานีนั้นเป็นนักการเมืองในสายปฏิรูป เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ก็ยึดมั่นในอุดมการณ์ทางการเมืองแบบอิสลาม ดังที่รูฮานีได้กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าจะบริหารประเทศโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แก้ปัญหาคนว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ … และจะยึดมั่นในคำชี้แนะของผู้นำสูงสุดเพื่อบริหารประเทศบนแนวทางสายกลาง”

 

ส่วน นโยบายโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ประธานาธิบดี ฮะซัน รูฮานี ได้มีท่าทีในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์บางอย่าง นั่นคือ แสดงจุดยืนในความชอบธรรมของโครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติ แต่กับบริบทความกดดันของชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา  ฮะซัน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ประกาศว่าอิหร่านพร้อมจะเจรจาข้อตกลงปัญหานิวเคลียร์ (เดอะพับลิค โพสต์ :อิหร่านกับบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์)

การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติของประเทศอิหร่านในมุมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมถือว่าเป็นการก้าวล้ำไปอีกก้าวหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของอิหร่าน ที่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและขีดความสามารถของอิหร่านในการสร้างนวัตกรรมและมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยศาสตร์ที่ไม่แพ้ใครในโลกนี้

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *