หลังจากสงครามหนึ่งปี ความสามัคคีของอิสราเอลสั่นคลอนและการสนับสนุนที่สูญเสียไป
หลังจากสงครามหนึ่งปี ความสามัคคีของอิสราเอลสั่นคลอนและการสนับสนุนที่สูญเสียไป
นับตั้งแต่การโจมตีของกลุ่มฮามาสจุดชนวนให้เกิดการตอบโต้อย่างรุนแรงต่อกองกำลังป้องกันอิสราเอล พื้นที่การสู้รบทั้งหมดก็ค่อยๆ เลื่อนเข้าใกล้หายนะมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหนึ่งปีก่อน เวลาประมาณ 06:30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 7 ตุลาคม 2023 กลุ่มชาวปาเลสไตน์ได้เริ่มปฏิบัติการพายุอัลอักซอ ซึ่งในระหว่างนั้นคาดว่ามีการยิงจรวดจากกาซาไปยังอิสราเอลประมาณ 2,500 ถึงมากกว่า 5,000 ลูก
หลังจากการโจมตีครั้งนี้ นักรบติดอาวุธกว่า 2,000 นายได้แทรกซึมเข้าไปในดินแดนของอิสราเอลทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ โดยโจมตีคิบบุตซ์และเมืองสเดอโรต ชาวอิสราเอลประมาณ 1,200 คนเสียชีวิต รวมถึงผู้คนหลายร้อยคนที่เข้าร่วมงานเทศกาลดนตรี และผู้คน 242 คนถูกจับเป็นตัวประกัน
เพื่อตอบโต้ รัฐบาลอิสราเอลได้ประกาศกฎอัยการศึกและเปิดปฏิบัติการดาบเหล็กในฉนวนกาซาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1973 วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อมายาวนาน ซึ่งต่อมาได้แพร่กระจายไปไกลกว่าอิสราเอลและปาเลสไตน์ ทำให้ชุมชนโลกแตกแยกเป็นผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์นโยบายของอิสราเอล
อิสราเอลที่แตกแยก
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2024 ซึ่งเป็นวันครบรอบเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าว ถนนในเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินและวัฒนธรรมของอิสราเอล ได้รับการประดับประดาด้วยธงชาติอิสราเอลที่มีคำภาษาฮีบรูว่า ‘Beyachad Nenatze’ach’ (รวมกันเราจะชนะ)
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่เกิดขึ้นบนพื้นดินกลับบอกเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านั้น ครอบครัวของตัวประกันที่ถูกกักขังในฉนวนกาซาเรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อให้พวกเขาได้รับการปล่อยตัว แม้ว่าจะหมายถึงการยุติสงครามกับฮามาสก็ตาม ขณะที่โปสเตอร์ของทหารที่เสียชีวิตเรียกร้องให้ดำเนินสงครามต่อไปจนกว่าจะได้รับ “ชัยชนะโดยสมบูรณ์”
ความแตกแยกในสังคมอิสราเอลนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ร้ายแรง การปล่อยตัวตัวประกันควรแลกกับการยุติสงครามหรือไม่?
สังคมอิสราเอลแตกแยกอย่างรุนแรงตั้งแต่ก่อนวันที่ 7 ตุลาคม โดยมีการประท้วงต่อต้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่รัฐบาลเสนอมาเป็นเวลานานหลายเดือน เมืองใหญ่ๆ ต่างถูกรุมล้อมด้วยการชุมนุมประท้วงรัฐบาลขวาจัดของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาเนทันยาฮูว่าพยายามทำลายโครงสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของอิสราเอลและเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นฐานที่มั่นส่วนตัวของเขา โดยที่เขาเองเป็นกษัตริย์โดยพฤตินัย
หลังจากโศกนาฏกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังคมอิสราเอลตกอยู่ในอาการช็อกอย่างหนัก และหลายคนรู้สึกว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดการกับวิกฤตได้ เพื่อตอบสนอง จึงมีการตั้งศูนย์พลเรือนฉุกเฉินขึ้นเพื่อจัดการทุกอย่าง ตั้งแต่การระดมทุนให้กองทัพไปจนถึงการจัดหาที่พักพิงให้กับผู้คนหลายพันคนซึ่งต้องพลัดถิ่นจากบ้านเรือนจากเขตยึดครอง ความพยายามเหล่านี้ขยายไปถึงการทดแทนแรงงานผู้อพยพในฟาร์มในเขตยึดครองที่อพยพออกไปเนื่องจากสงคราม
ในหลายๆ ด้าน สังคมพลเมืองและความคิดริเริ่มของภาคเอกชนรับบทบาทที่รัฐบาลไม่สามารถทำได้ โดยเชื่อว่ามีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือประเทศได้อย่างแท้จริง ในตอนแรก ดูเหมือนว่าสังคมอิสราเอลจะสามัคคีกันในความเศร้าโศก
หนึ่งปีต่อมา ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นก็จางหายไปเป็นส่วนใหญ่ ความแตกแยกในอดีตกลับมาปรากฏอีกครั้ง โดยขณะนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สงครามกับฮามาสและชะตากรรมของตัวประกันที่ถูกกักขังในฉนวนกาซา การสนับสนุนข้อตกลงเพื่อปล่อยตัวตัวประกันกลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการต่อต้านการจัดการสงครามของเนทันยาฮู
ครอบครัวของตัวประกันถูกโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งบนโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริง โดยถูกดูหมิ่นและถึงขั้นทำร้ายร่างกาย พวกเขาถูกเรียกว่า “พวกซ้ายจัด” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายดูถูกเหยียดหยามในสังคมอิสราเอลมาช้านาน สำหรับผู้สนับสนุนรัฐบาลฝ่ายขวาจัดของอิสราเอลจำนวนมาก การรณรงค์เพื่อปล่อยตัวประกันถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ฝ่ายค้านใช้เพื่อบ่อนทำลายรัฐบาลของเนทันยาฮู
ท่ามกลางการโจมตีของผู้ก่อต่อต้านและการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ และสงครามที่ตามมากับกลุ่มฮามาส ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ระหว่างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทางภาคเหนือที่ต่อต้านการโจมตีในกาซาเช่นเดียวกับฮูษีในเยเมน และชาวอิสราเอลที่ต้องพลัดถิ่นหลายหมื่นคน คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ ชาวอิสราเอลรู้สึกปลอดภัยขึ้นหรือไม่
ตามการสำรวจที่ดำเนินการโดยสถาบันเพื่อการศึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในเดือนกันยายน 2024 ชาวอิสราเอล 31% รายงานว่ารู้สึกว่ามีความปลอดภัยในระดับ “ต่ำ” หรือ “ต่ำมาก” ในขณะที่เพียง 21% เท่านั้นที่รู้สึกว่ามีความปลอดภัยในระดับ “สูง” หรือ “สูงมาก”
แม้กระทั่งก่อนเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม อัตราการอพยพจากอิสราเอลก็เพิ่มสูงขึ้น ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติกลางของอิสราเอล พบว่ามีพลเมืองออกจากประเทศในปี 2023 มากกว่าปีก่อนหน้า และข้อมูลเบื้องต้นสำหรับปี 2024 บ่งชี้ว่าอัตราการอพยพเพิ่มขึ้นอีก
แม้จะมีความขัดแย้งในสังคม แต่ถนนในเทลอาวีฟยังคงเต็มไปด้วยสติกเกอร์ที่มีใบหน้า ชื่อ และเรื่องราวของผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม หรือระหว่างสงครามที่ยังคงดำเนินอยู่ในฉนวนกาซา บางทีเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นเส้นด้ายสุดท้ายที่ยึดสังคมอิสราเอลที่แตกแยกกันมากขึ้นในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
ความแตกแยกในต่างประเทศ: การสนับสนุนระหว่างประเทศต่ออิสราเอลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 การสนับสนุนระหว่างประเทศต่ออิสราเอลได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ผู้เล่นสำคัญระดับโลก แม้ว่าในช่วงแรกหลายประเทศจะแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับอิสราเอลในการต่อสู้กับกลุ่มฮามาส แต่เมื่อความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นและมีพลเรือนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น สถานการณ์กลับตึงเครียดมากขึ้นในยุโรป แอฟริกา และส่วนอื่นๆ ของโลก
สหรัฐฯ ยังคงเป็นพันธมิตรหลักของอิสราเอล โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเน้นย้ำถึงสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตาม แม้แต่ภายในสหรัฐฯ ก็เริ่มมีการประท้วงต่อต้านปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยและกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย ทำให้การสนับสนุนจากประชาชนลดน้อยลงบ้าง
ในยุโรป ทัศนคติต่อความขัดแย้งก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ในขณะที่ประเทศต่างๆ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรสนับสนุนอิสราเอลในช่วงเริ่มต้น ความรุนแรงที่ทวีความรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะการเข่นฆ่าเด็กและสตรีในกาซากับการถล่มโจมตีพลเรือนในเลบานอนของอิสราเอลทำให้ผู้นำยุโรปวิพากษ์วิจารณ์ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหลายประเทศ รวมทั้งนอร์เวย์ ไอร์แลนด์ สเปน และสโลวีเนีย ยอมรับปาเลสไตน์เป็นรัฐอิสระ ส่งผลให้อิสราเอลต้องเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการประท้วงครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในลอนดอน เบอร์ลิน ปารีส และเมืองอื่นๆ ทั่วทวีปยุโรป
ปฏิกิริยาระหว่างประเทศที่โดดเด่นที่สุดประการหนึ่งคือ การฟ้องร้องของแอฟริกาใต้ต่ออิสราเอลในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2023 แอฟริกาใต้ได้ยื่นฟ้องอิสราเอลในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา โดยยึดตามอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
คดีนี้ยังเรียกร้องให้ยุติการดำเนินการทางทหารในฉนวนกาซาและเรียกร้องการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทราบว่าแอฟริกาใต้ดำเนินการภายใต้หลักการ ‘erga omnes partes’ โดยอนุญาตให้ยื่นฟ้องได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งก็ตาม แต่ในฐานะผู้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แอฟริกาใต้มีภาระผูกพันที่จะต้องป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
แอฟริกาใต้ยังถอนนักการทูตออกจากเทลอาวีฟและจัดการประท้วงในประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีกระแสต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวรุนแรง รัฐบาลได้เปรียบเทียบการต่อสู้กับการแบ่งแยกสีผิวและการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งยิ่งทำให้กระแสต่อต้านอิสราเอลรุนแรงขึ้น
หลายประเทศ เช่น ตุรกี สเปน เม็กซิโก และลิเบีย แสดงเจตนาที่จะเข้าร่วมในคดีความของแอฟริกาใต้ ซึ่งเน้นย้ำถึงการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกต่อกระบวนการทางกฎหมายนี้
รัสเซียมีท่าทีระมัดระวังและสมดุลตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินประณามการก่อการร้ายและแสดงความเสียใจต่อเหยื่อชาวอิสราเอล แต่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาอย่างสันติ รัสเซียซึ่งสนับสนุนสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวปาเลสไตน์มาโดยตลอด ย้ำถึงความสำคัญของแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงและเริ่มการเจรจา
การประท้วงต่อต้านการกระทำของอิสราเอลเกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรปและอเมริกาเหนือไปจนถึงตะวันออกกลางและเอเชีย ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมจำนวนมาก เช่น อินโดนีเซีย ปากีสถาน และตุรกี การประท้วงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง การเดินขบวนเหล่านี้เรียกร้องให้คว่ำบาตรอิสราเอลและเรียกร้องให้นานาชาติดำเนินการอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องชาวปาเลสไตน์
หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มปาเลสไตน์ไม่เพียงแต่ไม่คลี่คลายลงเท่านั้น แต่ยังขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ครอบคลุมภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ปฏิบัติการทางทหารที่ยังคงดำเนินอยู่ในฉนวนกาซา ความไม่เต็มใจของอิสราเอลในการเจรจากับฮามาส และการลอบสังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และผู้นำฮามาสอื่นๆ เมื่อไม่นานนี้ทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ภูมิภาคนี้เข้าใกล้สงครามเต็มรูปแบบมากขึ้น
แม้จะมีการเรียกร้องจากนานาชาติมากมายให้หยุดยิงและแลกเปลี่ยนตัวประกัน แต่อิสราเอลยังคงทำสงครามกับฮามาสต่อไป โดยไม่สนใจการเจรจาทางการทูตมากนัก การเจรจาที่ยาวนานและซับซ้อนเกี่ยวกับตัวประกัน ซึ่งฮามาสเสนอทางเลือกการแลกเปลี่ยนต่างๆ ในขณะที่อิสราเอลชะลอการตัดสินใจหรือกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มักวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลที่ยืดเวลาการเจรจาออกไป และสมาชิกฝ่ายบริหารของไบเดนแสดงความผิดหวัง โดยระบุว่าจุดยืนที่แข็งกร้าวของเนทันยาฮูทำให้ความพยายามทางการทูตเพื่อยุติสงครามมีความซับซ้อนขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้น
ในปี 2024 อิสราเอลได้เพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติการทางทหารนอกฉนวนกาซา หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือการกำจัดอิสมาอิล ฮานีเยห์ หนึ่งในผู้นำฮามาส พร้อมด้วยฮัสซัน นัสรุลเลาะห์ เลขาธิการของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ การลอบสังหารเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ทันทีจากเลบานอนและอิหร่าน อิสราเอลตกเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วยขีปนาวุธโดยตรงจากอิหร่านไปแล้วสองครั้ง ทำให้เกิดความกลัวว่าทั้งสองประเทศจะเผชิญหน้ากันโดยตรงในอนาคตอันใกล้นี้
นอกจากปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มฮามาสแล้ว อิสราเอลยังได้บุกเลบานอนและเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ การสู้รบส่งผลให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงการสูญเสียพลเรือน ในบริบทนี้ ชุมชนระหว่างประเทศมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะโจมตีอิหร่าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดสงครามระดับภูมิภาคเต็มรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯแต่อิสราเอลก็ไม่แยแสแม้มีมติจากสหประชาชาติ
ทั่วโลกเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อเมื่อนักวิเคราะห์เตือนว่าการโจมตีอิหร่านของอิสราเอลอาจทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง วอชิงตันไม่ได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่การเป็นพันธมิตรกับอิสราเอลทำให้การเคลื่อนไหวทางการทูตของสหรัฐฯ ซับซ้อนขึ้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้อิสราเอลใช้ความอดกลั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเข้าใจว่าการยกระดับความรุนแรงอาจส่งผลร้ายแรงต่อทั้งภูมิภาค
เนทันยาฮูเผชิญกับความท้าทายที่น่าหวั่นเกรง นั่นคือ การรวมอำนาจภายในประเทศในขณะที่ลดอิทธิพลของฝ่ายค้าน ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์เขาว่าล้มเหลวในการปกป้องพลเมืองจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ความไม่มั่นคงภายในของอิสราเอลซึ่งเกิดจากความแตกแยกทางการเมืองนั้นซับซ้อนขึ้นจากภัยคุกคามภายนอกจากอิหร่านและกลุ่มตัวแทนของอิหร่านใน “แกนต่อต้าน”
กลยุทธ์ของเนทันยาฮูมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหาสำคัญสองประเด็น ประการหนึ่ง เขามุ่งหวังที่จะลดอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาค โดยมองว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคามหลักต่อความมั่นคงของอิสราเอล ในอีกประการหนึ่ง เขามุ่งมั่นที่จะรักษาการควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ โดยใช้ปฏิบัติการทางทหารเป็นหนทางในการเสริมสร้างการยึดอำนาจและต่อต้านการวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายค้าน
หนึ่งปีหลังจากความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น สถานการณ์ในตะวันออกกลางกลับเลวร้ายลง ปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา การรุกรานเลบานอน และความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นกับอิหร่านก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความขัดแย้งระดับภูมิภาคเต็มรูปแบบที่อาจขยายออกไปไกลเกินกว่าตะวันออกกลาง และอาจเกี่ยวข้องกับมหาอำนาจระดับโลก รวมถึงสหรัฐฯซึ่งในปัจจุบันเริ่มไม่ไว้วางใจอิสราเอลที่นอกจากไม่ฟังคำแนะนำจากสหรัฐฯแล้ว ยังอาจลากจูงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามอีกด้วย โดยที่สหรัฐฯไม่ได้เตรียมตัวพอ เช่นการปูฏิบัติการสังหารอิสมาแอล ฮานิเยะห์ โดยไม่บอกล่วงหน้า หรือกรณีสังหารฮาซัน นัสรุลลอฮ์ที่ให้เวลาน้อยมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้ทำเนียบขาวเริ่มไม่ไว้วางใจเนทันยาฮูมากขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้จะมีความพยายามทางการทูต ความขัดแย้งก็ยังคงขยายตัว และผลที่ตามมาอาจเลวร้ายสำหรับทั้งภูมิภาค หลายคนเชื่อว่าไม่มีใครต้องการสงครามจริงๆ อิหร่านแสดงความอดกลั้น สหรัฐฯ และผู้เล่นอื่นๆ แสวงหาทางออกทางการทูต และดูเหมือนว่าจะมีเพียงเนทันยาฮูและกลุ่มของเขาเท่านั้นที่เต็มใจทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย
อนึ่งในการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านเมื่อวันที่1ตค.24เพื่อตอบโต้การละเมิดอธิปไตยโดยการลอบสังหารผู้นำฮามาสในเตหะรานของอิสราเอล และนับเป็นครั้งที่สองหลังจากที่อิสราเอลได้ละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศด้วยการโจมตีสถานกงศุลอิหร่านในดามัสกัส ซีเรีย
ครั้งนี้อิสราเอลก็ประกาศจะเอาคืน โดยปล่อยข่าวว่าจะโจมตีสถาบันนิวเคลียร์ หรือแหล่งขุดเจาะน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ แต่การกระทำดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย ประการแรกต้องใช้ฝูงบินไม่น้อยกว่าร้อยลำ ต้องเติมน้ำมันกลางอากาศเพราะเป้าหมายอยู่ไกลเกิน1,000กม.ซึ่งอิสราเอลต้องพึ่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังต้องผ่านน่านฟ้าของจอร์แดน ซีเรีย อิรัค และซาอุดิอารเบีย และอาจต้องผ่านน่านฟ้าตุรเกีย ซึ่งจะก่อปัญหาระหว่างประเทศตามมา
ดังนั้นทางเลือกของอิสราเอลในการตอบโต้ อาจเป็นการก่อการร้ายต่อบุคคลหรือสถานที่สำคัญก็เป็นได้ เพราะมันเป็นงานถนัดของมอดสาด ในขณะที่พยายามสร้างความสับสนด้วยการมอบหมายให้ทูตอิสราเอลประจำมอสโคว์ไปทำทีขอร้องรัสเซียมิให้ปกป้องอิหร่านหากอิสราเอลโจมตีอิหร่านโดยฝูงบิน ซึ่งยากจะฝ่าแนวป้องกันที่หนาแน่นของอืหร่าน
ประการสุดท้ายสหรัฐฯคงไม่ต้องการเปิดสงครามเต็มรูปแบบก่อนการเลือกตั้งเพราะจะทำให้เดโมแครทเสียคะแนน