นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน: เรื่องราวของฉินมู่กง(秦穆公的故事)(2)
นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน: เรื่องราวของฉินมู่กง(秦穆公的故事)(2)
คนป่าที่ขโมยม้าช่วยชีวิตฉินมู่กง
จากนิทานของฉินมู่กงที่เล่าในตอนก่อน จะเห็นได้ว่า การใช้คนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยบริหารกิจการของรัฐ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่รัฐฉิน ฉินมู่กงยังมีคุณสมบัติอย่างอื่นที่น่ายกย่องอีก คือ การไม่ลงโทษคนทำคว่มผิดโดยปราฟศจากเหตุผล ในที่นี้จะเล่าเรื่องการยกโทษให้คนที่ขโมยม้าไปฆ่ากิน และผลที่ได้มาทีหลัง
ในการทำสงครามระหว่างรัฐฉินกับรัฐจิ้น ในสมัยจิ้นฮุ่นกง (ก่อนที่จิ้นเหวินกงจะขึ้นมาเป็นผู้ครองรัฐจิ้น) มีอยู่คราวหนึ่ง ฉินมู่กงถูกกองทหารของรัฐจิ้นไล่ตี แต่ได้รับความช่วยเหลือจากคนป่ากลุ่มหนึ่ง จนรอดพ้นอันตราย การทำสงครามสมัยชุนชิว ผู้ครองรัฐมักจะร่วมรบตามหลังกองทหารไปด้วย การศึกครั้งนั้น กองทหารรัฐฉินมัวแต่ไปรุกไล่ทหารรัฐจิ้น จนไม่มีคนอารักขาผู้ครองรัฐ ขณะนั้นกองทหารจิ้นที่อยู่ท้ายแถว เหลือบเห็นฉินมู่กงขี่ม้ามาโดยไม่มีผู้ติดตาม จึงบุกเข้าปิดล้อม หวังทำร้ายหรือจับกุมฉินมู่กง เดชะบุญที่คนป่ากลุ่มหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้น ถือมีดและไม้กระบองเข้ามาช่วย คนป่ากลุ่มนี้มีหลายร้อยคน จึงสามารถสู้กับทหารจิ้นที่มีคนน้อยกว่าได้ และช่วยชีวิตฉินมู่กงให้รอดพ้นจากอันตราย
เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนหน้านั้นหลายปี ทหารที่ดูแลคอกม้าพบว่ามีม้าถูกขโมยไปหลายตัว เมื่อออกตามหา ก็พบว่า ม้าที่หายไปนั้น ถูกกลุ่มคนป่าขโมยไปฆ่ากิน จึงจับตัวหัวหน้า แล้วเสนอว่า ควรฆ่าทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และควรส่งทหารไปจับคนที่เหลือมาลงโทษ แต่ฉินมู่กงไม่เห็นด้วย โต้แย้งว่า คนที่ถึงกับต้องขโมยม้าไปฆ่ากิน น่าจะเป็นผู้ที่ยากจน ขาดแคลนอาหารการกิน อย่างไรเสียม้าที่ถูกขโมยก็ถูกฆ่าไปแล้ว ถ้าจะฆ่าคนขโมยอีก ก็เท่ากับว่าเราเห็นชีวิตม้าสำคัญกว่าคน ข้าฯคิดว่าในรัฐฉินมีอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน ไม่คิดว่ายังมีคนอดอยากอยู่ แทนที่จะลงโทษ เราน่าจะไปเยี่ยมเยียนดูว่าทำไมเขาจึงยากจนขนาดนี้ ไม่กี่วันต่อมา ฉินมู่กงและบริวาร จึงไปพบคนกลุ่มนี้ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าเชิงเขาไม่ไกลจากคอกม้า พบว่า พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นมาก ไม่ได้ทำนา ยังชีวิตได้จากการล่าสัตว์ และเก็บผลไม้ในป่ามากิน เมื่อเข้าตาจน จึงต้องขโมยม้ามาฆ่ากิน ฉินมู่กงรู้สึกสงสาร จึงสั่งให้คนเอาข้าวปลาอาหารมาให้คนกลุ่มนี้เป็นครั้งคราว คนป่ากลุ่มนี้ รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของมู่กง แต่ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณเขาได้อย่างไร จนกระทั่งมู่กงประสบอันตราย จึงมีโอกาสช่วยเขาได้

ยกทัพจะไปโจมตีรัฐเจิ้ง(郑)แต่ยกเลิกจากคำเตือนของจู๋จืออู่(烛之武)
เมื่อจิ้นเหวินกงขึ้นมาเป็นผู้ครองรัฐจิ้น และจัดการกับผู้ต่อต้านสำเรียบร้อยแล้ว ก็คิดจะยกทัพไปโจมตีรัฐอื่นที่ก่อนหน้านี้มีความบาดหมางกับเขา รัฐหนึ่งที่จิ้นเหวินกงอยากโจมตีก็คือรัฐเจิ้ง การไปตีเจิ้งครั้งนี้ รัฐจิ้นได้เชิญชวนรัฐฉินให้ส่งทหารไปร่วมรบด้วย ขณะนั้นรัฐฉิน เพิ่งเสร็จสิ้นภาระกิจการปราบปรามชนเผ่าหยงพอดี จึงตอบตกลงไปร่วมรบกับรัฐจิ้น
ฝ่ายรัฐเจิ้ง เมื่อได้ทราบข่าวความร่วมมือยกทัพมาตีของรัฐจิ้นกับรัฐฉิน ก็ตกใจมาก เจิ้งหวุนกง(郑文公)ผู้ครองรัฐเจิ้ง จึงปรึกษากับเหล่าขุนนางว่า ควรทำอย่างไรดี มีผู้เสนอว่า ถ้ากองกำลังรัฐจิ้น มาโดยลำพัง เราก็พอจะสู้ได้ แต่ถ้ามีกองกำลังของรัฐฉินมาด้วย เราคงต้านทานไม่ไหว ทางที่ดี ควรส่งคนไปเจรจากับรัฐฉิน ขอให้เขาอย่ามาร่วมรบในครั้งนี้ เจิ้งหวินกงถามว่า มีใครอาสาที่จะไปเจรจากับรัฐฉินบ้าง แต่ไม่มีผู้อาสา ในที่สุด มีคนเสนอให้เจิ้งเหวินกงส่ง จู๋จืออู่(烛之武)ซึ่งเป็นคนอายุมากที่มีฝีปากดี แต่ไม่มีตำแหน่งอะไรในรัฐเจิ้งเป็นคนไปเจรจา ทีแรกจู๋จืออู่ไม่ยอมไป บอกว่าตนแก่แล้ว และไม่มีตำแหน่งใดในรัฐ เกรงว่าจะไม่สามารถเป็นผู้แทนของรัฐเจิ้งได้ เจิ้งเหวินกงบอกว่า ได้ยินชื่อเสียงของจู๋จืออู่ มานานแล้ว เคยคิดจะให้เข้ามาช่วยงาน แต่มีคนบอกว่า จู๋จืออู่แม้พูดเก่ง แต่ยังไม่เคยมีผลงานอะไรที่น่ายกย่องเลย จึงได้เลิกล้มความคิดนั้นไป แต่บัดนี้ บ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขัน หากรัฐเจิ้งถูกรุกรานจนได้รับความเสียหายแล้ว ทุกคนในรัฐรวมทั้งตัวเขาเองก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ ขอร้องให้มาทำงานช่วยชาติสักครั้งเถิด
จู๋จืออู่จึงตอบตกลง เจิ้งเหวินกงจึงให้ทหารอารักขา ส่งเขาไปยังค่ายทหารของรัฐฉิน ซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไป และเมื่อไปถึง ก็ให้ปล่อยเขาไปขอพบฉินมู่กงเพียงลำพัง ฉินมู่กงเห็นมีคนแก่มาคนเดียว จึงยอมให้พบ
จู๋จืออู่บอกกับฉินมู่กงว่า การที่รัฐฉินยกทัพไปตีรัฐเจิ้ง ถึงแม้จะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์อันใด รัฐฉินอยู่ทางตะวันตก ห่างไกลจากรัฐเจิ้ง และไม่มีส่วนใดของดินแดนอยู่ติดกับรัฐเจิ้งเลย ถ้าจะครอบครองพื้นที่รัฐเจิ้ง ก็จะต้องผ่านรัฐจิ้น ดังนั้นการบุกรัฐเจิ้งครั้งนี้ รัฐฉินจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด และถ้ารัฐเจิ้งยอมจำนนแก่รัฐจิ้น รัฐจิ้นก็จะเข้มแข็งมากขึ้น แม้ขณะนี้รัฐจิ้นจะมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีกับรัฐฉิน แต่จิ้นเหวินกง ก็มีอายุมากแล้ว ถ้าเขาไม่อยู่ผู้ปกครองรัฐจิ้นคนต่อไป อาจจะไม่เป็นมิตรที่ดีกับรัฐฉินก็ได้
ฉินมู่กง เมื่อได้ยินเหตุผลของจู๋จืออู่แล้ว ก็คิดจะเลิกทัพไปร่วมรบกับรัฐจิ้น แต่ยังไม่ยอมตอบตกลง จึงถามกลับว่า ถ้ารัฐฉินไม่ร่วมรบครั้งนี้แล้ว รัฐเจิ้งจะมีอะไรตอบแทน จู๋จืออู่ตอบว่า ถ้ารัฐฉินเลิกทัพ รัฐเจิ้งจะเปลี่ยนจากการสวามิภักดิ์แก่รัฐฉู่ ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ที่อยู่ทางใต้ มาสวามิภักดิ์และเป็นพันธมิตรกับรัฐฉิน ฉินมู่กง เห็นว่าหากมีรัฐเจิ้งเป็นพันธมิตร น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐฉิน ในการขยายอำนาจไปทางทิศตะวันออก จึงตอบตกลงเลิกทัพ โดยมีเงื่อนไขว่า รัฐฉินจะส่งทหารสองพันคนไปประจำอยู่ที่รัฐเจิ้ง แต่เรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับไม่ให้รัฐจิ้นรู้

ส่วนรัฐเจิ้งเมื่อเกลี้ยกล่อมให้รัฐฉินยอมถอยทัพกลับไปแล้ว ก็คิดหาทางให้รัฐจิ้นยอมถอยทัพด้วย คราวนี้ สูจัน(叔詹) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเสนาธิการคนสำคัญของรัฐเจิ้งอาสาไปเจรจา เจิ้งเหวินกงคิดว่า สูจันเป็นขุนนางที่มีกลอุบายล้ำเลิศ หากเจรจาไม่สำเร็จ และถูกจับฆ่าตาย จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก สูจันกล่าวว่า ถ้าการเจรจาไม่เป็นผลแล้วตัวเขาถูกฆ่า รัฐเจิ้งก็เสียขุนนางเพียงคนเดียว แต่ถ้าการเจรจาเป็นผลสำเร็จ รัฐเจิ้งก็อยู่รอด ประชาชนไม่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นน่าที่จะให้เขาไปลองเจรจาดู
เมื่อ จิ้นเหวินกงได้พบกับสูจัน ได้ให้บริวารเตรียมกะทะทองแดงใส่นํ้ามันตั้งอยู่บนกองไฟ และได้บอกกับสูจันว่า ไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมอะไร เรายังมีความแค้นที่ถูกรัฐเจิ้งขับไล่ ขณะเดินทางผ่านรัฐเจิ้งในระหว่างการลี้ภัย เมื่อขุนนางรัฐเจิ้งมา จึงจะต้องจับฆ่าทิ้งเสีย สูจันกล่าวว่า ก่อนที่จะฆ่า ขอให้เขาบรรยายคุณสมบัติของตัวเองก่อน เหวินกงบอกว่า มีอะไรก็ว่ามา สูจันกล่าวว่า เมื่อจิ้นเหวินกงเดินทางผ่านรัฐเจิ้งเมื่อหลายปีก่อน ตนเคยเสนอให้ ผู้ครองรัฐเจิ้งต้อนรับและให้ความช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าเหวินกงเป็นคนดี มีผู้ติดตามที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมาก ต่อไปคงได้กลับไปเป็นผู้ครองรัฐจิ้น แต่ผู้ครองรัฐเจิ้งไม่ฟังคำแนะนำของเขา ต่อจากนั้น สูจัน ได้สาธยายถึงคุณสมบัติของเขาทั้งเรื่องมองการไกล ความกล้าหาญ ความจงรักภักดี ยอมพลีชีพเพื่อชาติ พร้อมทั้งได้คาดการณ์ว่า จิ้นเหวินกงจะกลับไปเป็นใหญ่ มีความกล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องรัฐและประชาชนของตน ทั้งที่รู้ว่าการมารัฐจิ้น ครั้งนี้อันตรายมาก แต่เขาก็รับอาสามา ถ้าจิ้นเหวินกงคิดจะฆ่าเขา เพราะความแค้นแต่หนหลัง ก็สั่งได้เลย บรรดาขุนนางและข้าราชการของรัฐจิ้นจะได้เห็นเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติต่อผู้กล้าหาญและจงรักภักดีต่อรัฐของตนเองของจิ้นเหวินกง หลังจากพูดจบแล้ว สูจันก็หันไปทางกลุ่มขุนนางข้าราชการรัฐจิ้น แล้วกล่าวว่า ดูตัวอย่างจุดจบของเขาไว้เพื่อเป็นบทเรียน
จิ้นเหวินกงเมื่อได้ยิน แทนที่จะลงโทษสูจัน กลับให้บริวารปล่อยเขา และต้อนรับเขาอย่างดี บอกว่า น่ายินดีที่รัฐเจิ้งมีขุนนางที่มีคุณสมบัติที่ดีเช่นนี้ และสั่งยกเลิกแผนการโจมตีรัฐเจิ้งในครั้งนั้น
การเจรจาให้รัฐฉินและจิ้นยอมยกเลิกแผนการรุกรานรัฐเจิ้งของจู๋จืออู่และสูจัน เป็นตัวอย่างของการระงับศึกสงครามด้วยการเจรจา แต่การตัดสินใจของ ฉินมู่กงและ จิ้นเหวินกง ที่รับฟังเหตุผลของผู้มาเจรจา ก็เป็นสาเหตุสำคัญเช่นกัน
การโจมตีรัฐเจิ้งอีกครั้งหนึ่งของฉินมู่กง
เรื่องนี้ถือได้ว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งหนึ่งของฉินมู่กง 12 ปีต่อมาหลังจากยกเลิกการรุกรานรัฐเจิ้งของรัฐฉินและรัฐจิ้น เจิ้งเหวินกงเสียชีวิตลง ผู้ครองรัฐเจิ้งคนใหม่ หันไปสวามิภักดิ์กับรัฐจิ้นที่มีพื้นที่ติดกัน และตีตัวออกห่างจากรัฐฉิน ในปีนั้น จิ้นเหวินกงก็เสียชีวิตลง ผู้ครองรัฐจิ้นคนใหม่คือจิ้นเซียงกง(晉襄公)มีความทะเยอทะยานที่จะสืบทอดการเป็นรัฐมหาอำนาจต่อจากจิ้นเหวินกง นายทหารรัฐฉินที่ประจำอยู่ในรัฐเจิ้ง เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จึงส่งหนังสือเสนอให้ฉินมู่กงยกทัพไปตีรัฐเจิ้ง บอกว่า ถ้ารัฐฉินยกทัพมา ทหารฉินที่ประจำในเมืองหลวงเจิ้งจะร่วมสนับสนุน ฉินมู่กงคิดว่า เมื่อหมดสมัยจิ้นเหวินกงไปแล้ว รัฐฉินน่าจะเป็นรัฐมหาอำนาจ จึงตัดสินใจยกทัพไปโจมตีรัฐเจิ้ง แต่ไป๋หลี่ซีและเจี่ยนสูไม่เห็นด้วย บอกว่ารัฐเจิ้งอยู่ไกลจากรัฐฉินมาก การโจมตีรัฐเจิ้ง ทหารต้องเดินทางไกลและใช้เวลาเดินทางมาก ถ้าข่าวการบุกโจมตีรั่วไหล รัฐเจิ้งจะมีเวลาเตรียมตัวพร้อมรบ แม้รบชนะ ก็ยึดครองรัฐเจิ้งลำบาก เพราะพรมแดนไม่ติดกัน มีรัฐจิ้นคั่นกลางอยู่ อีกทั้งการยกทัพไปตีรัฐเจิ้งในขณะที่รัฐจิ้น กำลังจัดงานศพจิ้นเหวินกงอยู่ เป็นการฉวยโอกาสที่ไม่ควรทำ แต่ฉินมู่กงคิดว่า ถ้าโจมตีและยึดครองรัฐเจิ้งได้ก็จะเจรจาต่อรองให้รัฐจิ้นยกดินแดนบางส่วน ให้รัฐฉินเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน และด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจ ฉินมู่กงจึงไม่รับฟังคำเตือนของไป๋หลี่ซือและเจี่ยนสู
เจี่ยนสูเห็นฉินมู่กงไม่ยอมรับฟังคำเตือน จึงเสนอว่า การไปโจมตีรัฐเจิ้ง ต้องระวังกองกำลังของรัฐจิ้น ที่จะดักโจมตีระหว่างทาง เพื่อความปลอดภัยควรสืบข่าวให้แน่ชัดก่อนว่า รัฐจิ้นมีท่าทีในเรื่องนี้อย่างไร และมีการเตรียมพร้อมในการสู้รบครั้งนี้อย่างไรก่อน แต่ฉินมู่กงปฏิเสธข้อเสนอนี้ เห็นว่า การยกทัพโจมตีรัฐอื่น ต้องทำอย่างรวดเร็ว ไม่ควรรอช้า
ในเวลานั้น ลูกของไป๋หลี่ซีและเจี่ยนสูเป็นแม่ทัพคุมกองกำลังของรัฐฉิน ในเมื่อผู้ครองรัฐสั่งมา ก็ต้องออกศึกตามคำสั่ง เจี่ยนสูกังวลไจมาก จึงเขียนจดหมายใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ บอกลูกของเขาว่า การออกศึกครั้งนี้ ต้องยกทัพผ่านเขตภูเขาเสียวซัน(崤山) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่อันตราย ถ้าถูกโจมตี ต้องตั้งรับให้ดี แล้วค่อยๆถอยทัพมาทางทิศตะวันตก ตามที่ฉันเขียนไว้ในจดหมายนี้
สมัยปัจจุบัน มีเทคโนโลยีก้าวหน้า ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของกำลังพลสืบทราบได้โดยรวดเร็ว แต่ในสมัยโบราณ ข่าวสารการคมนาคมไม่สะดวก การเคลื่อนทัพอาจทำได้อย่างลับๆโดยไม่มีใครรู้ แต่การเดินทัพจากรัฐฉินไปรัฐเจิ้งมีระยะทางยาวไกลและต้องผ่านพื้นที่เขตภูเขา กว่าจะถึงรัฐเจิ้งต้องใช้เวลาแรมเดือน การเคลื่อนทัพในระยะทางไกลและกินเวลานานเช่นนี้ บางทีก็ไม่อาจปิดเป็นความลับได้
แต่สิ่งที่แม่ทัพรัฐฉินคาดไม่ถึงคือ เมื่อเคลื่อนทัพออกไปได้ไม่นาน ก็มีคณะฑูตที่ส่งมาจากรัฐเจิ้งเดินทางมาต้อนรับ ผู้นำคณะชื่อเสียนเกา(弦高)มาขอพบแม่ทัพฉิน แล้วบอกว่า ผู้ครองรัฐเจิ้งรู้ว่าฉินจะมาโจมตีรัฐเจิ้ง จึงส่งเขามาคารวะ และบอกกล่าวให้ทราบว่า รัฐเจิ้งมีการเตรียมพร้อมสู้ศึก และขอให้รัฐจิ้นส่งกองกำลังมาช่วยรบแล้ว ขอให้รัฐฉินถอนกำลังกลับไป ด้วยความเคารพ จึงส่งของกำนัลมา ขอให้ท่านรับไว้
แม่ทัพฉินเมื่อได้ยินดังนั้น รู้สึกตกตะลึงมาก ไม่คิดว่ารัฐเจิ้งจะรู้ข่าวรวดเร็วเช่นนี้ จะถอยทัพก็เป็นการขัดคำสั่ง ถ้าจะยกกำลังเดินทางต่อไป กว่าจะถีงรัฐเจิ้ง ต้องใช้เวลานาน และฝ่ายเขาได้เตรียมพร้อมสู้ศึกแล้ว โอกาสที่จะเอาชนะคงยาก แต่การยกพลเป็นสิ่งที่เห็นประจักษ์ ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ จึงกล่าวกับผู้แทนรัฐเจิ้งว่า ที่ยกกำลังพลมานี้ ไม่ใช่ไปรัฐเจิ้ง แต่จะไปตีรัฐหัว(滑)ซึ่งเป็นรัฐเล็กๆที่อยู่ใกล้รัฐฉินต่างหาก
เหตุใดรัฐเจิ้งจึงทราบข่าวการบุกรุกของรัฐฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ที่แท้ตอนนี้รัฐเจิ้งยังไม่รู้ว่ารัฐฉินจะมาโจมตี การมีคณะทูตจากรัฐเจิ้ง เป็นกลอุบายของเสียนเกาที่เป็นพ่อค้าขายวัวชาวเจิ้ง ที่เผอิญเดินทางมาขายวัวที่รัฐฉิน เมื่อทราบข่าวว่ารัฐฉินกำลังจะไปบุกรัฐเจิ้ง จึงรีบทำหนังสือไปบอกผู้ครองรัฐเจิ้ง แล้วนำวัวยี่สิบตัวพร้อมสิ่งของมีค่าที่ซื้อมาจากตลาดมาเป็นของกำนัล วัวของรัฐเจิ้งดี ที่เป็นที่นิยมชมชอบของรัฐอื่น การเอาวัวเป็นของกำนัล จึงเป็นเรื่องไม่แปลก
แม่ทัพรัฐฉินแม้คิดว่ารัฐเจิ้งรู้ข่าวการยกกำลังไปบุกแล้ว แต่ก็ยังเดินทัพต่อไป เพียงแต่แวะไปตีรัฐหัวก่อนแต่หลังจากนั้น เมื่อเคลื่อนทัพผ่านรัฐจิ้น ก็ถูกกองกำลังทหารจิ้นที่คอยอยู่เทือกเขาเสียวซันโจมตีจนแตกพ่าย ทหารจิ้นจับแม่ทัพฉินทั้งสามเป็นเชลยส่งไปเมืองหลวงรัฐจิ้น
ก่อนที่กองทหารของรัฐจิ้นจะไปดักโจมตีกองทัพรัฐฉิน มีการถกเถียงกันในหมู่ขุนนางว่า ควรไปสู้รบกับรัฐฉินหรือใหม่ ในที่สุด จิ้นเซียงกงเห็นชอบกับฝ่ายที่เห็นว่าควรออกศึก จึงส่งกองกำลังไปซุ่มคอยที่เขตภูเขาเสียวซัน ซึ่งเป็นทางผ่านของกองกำลังฉิน และโจมตีเอาชนะได้โดยฝ่ายฉินไม่ทันตั้งตัว
แต่เมื่อจับแม่ทัพฉินมาถึงเมืองหลวงจิ้นแล้ว แม่ของจิ้นเซียงกง(ภรรยาของจิ้นเหวินกงที่เป็นลูกสาวของฉินมู่กง) ก็บอกให้จิ้นเซียงกงปล่อยตัวสามคนนี้กลับรัฐฉิน โดยให้เหตุผลว่า ถ้าแต่ก่อนนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฉินมู่กง จิ้นเหวินกงคงกลับมาเป็นผู้ของรัฐไม่ได้ และจิ้นเซี่ยงกงก็จะมีวันนี้ไม่ได้ ในที่สุด จิ้นเซียงกงก็ปล่อยตัวแม่ทัพฉินทั้งสามกลับรัฐฉิน
ศึกครั้งนี้ รัฐจิ้นเป็นฝ่ายชนะรัฐฉิน รัฐเจิ้งก็ไม่ถูกโจมตี แต่ต่อมา รัฐฉินกับรัฐจิ้น ก็มีเหตุให้ต้องสู้รบกันหลายครั้ง ในครั้งสุดท้ายรัฐฉินเป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้น ฉินมู่กงก็ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ราชวงศ์โจวให้เป็นรัฐมหาอำนาจ ในเวลานั้น ฉินมู่กงมีอายุมากแล้ว ไป๋หลี่ซีและเจี่ยนสูที่แก่กว่าฉินมู่กง ได้ลาออกจากราชการกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบในวัยชราที่บ้าน ฉินมู่กงแม้ยังเป็นผู้ครองรัฐฉินอยู่ แต่ก็ไม่สนใจที่จะไปทำศึกกับรัฐอื่นๆอีก และใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขจนแก่เฒ่า