INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

พ.ร.บ.EEC ดีสุดขั้ว หรือชั่วสุดขีด

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
พ.ร.บ.EEC
ดีสุดขั้ว หรือชั่วสุดขีด

ผู้เขียนได้รับข้อมูลจาการศึกษาพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 135 ตอนที่ 3 ก. วันที่ 14 2561 ซึ่งประกอบด้วย 73 มาตรา และต่อไปนี้จะเรียกว่า พรบ.EEC
ทั้งนี้เมื่อแรกได้รับสำเนากฎหมายก็รู้สึกตื่นเต้นคึกคึกว่า เอาละหวา เมืองไทยคงจะมีการพัฒนากันขนานใหญ่จนกลายเป็นไทยแลนด์ 4.0 กันคราวนี้แหละ
แต่พอศึกษาไปพอสังเขปตามรายละเอียด และได้รับข้อมูลจากกลุ่มบุคคลผู้รักชาติ รักแผ่นดินบางกลุ่ม ก็เริ่มเกิดอาการวิตกกังวล ไม่ใช่จริตวิตกพารานอยด์ แต่มันน่าห่วงใยอย่างยิ่งต่ออนาคตประเทศไทยภายใต้พรบ.นี้
ทั้งนี้ต้องขอย้อนหลังไปอ้างถึงคำสั่ง คสช.ในปี 2560 2 ฉบับที่ออกมาก่อนพรบ.นี้และอีก 1 ฉบับที่กำหนดให้มีการตรากฎหมาย EEC ออกมา และเมื่อมีพรบ.นี้ออกมาแล้วก็ให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว แต่มีบทเฉพาะกาลว่าให้ดำเนินการต่อไปได้ หากยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตาม พรบ.EEC
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการอนุโลมให้อำนาจหลายประการที่ทำให้คณะกรรมการ สำนักงาน และเลขาธิการ EEC มีอำนาจดำเนินการนั้น หรือใช้อำนาจนั้นโดยถือว่าเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปโดยปริยาย อุแม่เจ้า คณะกรรมการ สำนักงาน และเลขาธิการของ EEC นี้ช่างมีอำนาจมากมายจริงๆ
แต่แค่นั้นไม่พอ ผู้อ่านอาจต้องถึงกับกรี๊ดสลบ เมื่อพบว่า จะมีการดำเนินการยกเลิก แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือใช้อำนาจของคณะกรรมการ สำนักงาน และเลขาธิการ ที่จะมีผลเหนือกฎหมายต่างๆไม่น้อยกว่า 33 ฉบับ
ที่อึ้งกิมกี่มากๆก็คือ ตามพรบ.นี้ให้ยกเลิกข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 60 บางมาตรา เป็นมาตราที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 34 และมาตรา 37 ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นๆ ประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ จึงไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในทุกด้าน รวมทั้งจำกัดเสรีภาพทางวิชาการที่นักวิชาการจะชี้แจงต่อประชาชน ตามมาด้วยการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการจัดการทรัพย์สินมรดก หากถูกเวนคืนทั้งก่อนและหลังการรับสิทธิตกทอด
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผู้เขียนเคยรับทราบมาว่า ในประวัติศาสตร์ชาติไทยมีการยกเลิกการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศจากฝ่ายบริหารเพียงครั้งเดียว คือ สมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ส่วนท่านจะมีความมุ่งหมายอย่างไรไม่ขอพูดถึง
สิ่งที่สมควรพิจารณาก็คือ ทำไมต้องให้อำนาจตั้งมากมายที่จะกล่าวต่อไป แก่คณะกรรมการสำนักงาน และเลขาธิการ เพราะรัฐบาลหรือคสช. มีความคาดหมายอย่างแรงกล้าที่จะทำให้เกิดการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรม ที่มีความเจริญก้าวหน้าทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ต้องการให้มีการล่าช้า ด้วยอุปสรรคต่างๆโดยเฉพาะความเห็น ความเป็นอยู่ และความต้องการดำเนินวิถีชีวิตของชุมชนในเขตปฏิรูปดังกล่าว
อนึ่งเมื่อดูแนวทางการพัฒนา แม้จะอ้างถึงการพัฒนาตามแนวการปรับตัวของเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่รูปแบบก็ไม่ต่างจากแผนแม่บทในการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก หรืออิสเทิร์นซีบอร์ดที่เคยทำมาหลายสิบปีแล้ว สุดท้ายเกิดปัญหามากมาย โดยเฉพาะความขัดแย้งกับวิถีชีวิตของชุมชน และสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย แม้ในอิสเทิร์นซีบอร์ดจะกำหนดเขตกันชนกับแนวชุมชน โดยให้จัดทำการปลูกต้นไม้จำนวนมาก แต่ในทางปฏิบัติถูกละเลย และยังมีการบุกรุกแนวกันชนจนไม่เหลือ นอกจากนี้ในเรื่องการเก็บขยะก็ยังดำเนินการไม่ครบถ้วน จนเกิดการทิ้งขยะปนเปื้อนแบบไม่รับผิดชอบในระหว่างดำเนินการ จนชาวบ้านต้องทำการร้องเรียน และประท้วง จึงมีการแก้ไขบ้างแต่ไม่ครบถ้วน
แต่พรบ.EEC ชาวบ้านไม่มีสิทธิโวยต้องยอมรับชะตากรรมอย่างเดียว และไม่ปรากฏว่ามีเขตกันชน
นอกจากนี้รัฐบาล และคสช.ไม่ได้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงที่ว่า เราเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นอันดับต้นๆ จนได้ตั้งเป็นสโลแกนว่า ประเทศไทยเป็นครัวโลก
แถมรัฐบาลก็มีการโฆษณาทุกวัน โดยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเราจะใช้ศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ และระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลน้อมนำมาปฏิบัติ
แต่ในพรบ.EEC กลับแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย จะมุ่งไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมไฮ-เทค เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งปรากฏชัดว่าในพื้นที่ประกาศเขต EEC มีแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญ เช่น การเพาะเลี้ยงกุ้ง ปลากะพงขาว และอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลสภาพแวดล้อมอย่างเป็นนัยสำคัญตามหลัก SDGs แม้มีเขียนไว้บ้างก็พอเป็นพิธี และมิได้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน นอกจากทำไปแบบผ่านๆ เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่คณะกรรมการ สำนักงาน และเลขาธิการ EEC
ด้านแรงงานที่นำมากล่าวอ้างว่าจะมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามพรบ.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพ.ศ.2560 ปรากฏว่ามีการจัดตั้งกองทุนลงเงินไป 1 หมื่นล้าน และระบุว่าจะเป็นการพัฒนาฝีมือแรงงานในเขต EEC
ก็ต้องมาดูว่าแล้วใครจะได้ประโยชน์ ปรากฏว่านโยบายการจัดตั้งเขต EEC นั้นต้องการให้ต่างชาติมาลงทุนเป็นส่วนใหญ่ และอนุญาตให้นำแรงงานฝีมือเข้ามาได้ทั้งหมด ที่เหลือก็จะเป็นแรงงานที่ไร้ฝีมือ เช่น แม่บ้าน ยาม คนแบกหาม ที่ใช้น้อยมาก แล้วจะเข้าโครงการพัฒนาได้อย่างไร นี่ยังไม่นับ AI เครื่องจักรอัจฉริยะ
ครั้นมาพิจารณาถึงโครงสร้างอำนาจ พบว่าคณะกรรมการประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี 15 คน และนายกสมาคมธนาคาร ประชาชนสภาอุตสาหกรรม และประธานสภาหอการค้า ซึ่ง 3 ตำแหน่งหลังย่อมมีสมาชิกที่อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีที่ว่างให้ประชาชนที่เป็นคนกลุ่มใหญ่และจะได้รับผลกระทบเลย
สำคัญคือ คณะกรรมการสำนักงาน และเลขาธิการ มีอำนาจที่จะนำเอาที่ดินตามกฎหมายต่างๆ เช่น สปก. ป่าสงวน อุทยาน แม้แต่ที่ราชพัสดุตลอดจนเวนคืนจากประชาชนมาขาย ให้เช่า หรือให้ใช้ได้ฟรี นอกจากนี้เงินตราที่ใช้ในเขตยังให้ใช้เงินตราต่างประเทศโดยไม่ต้องใช้เงินบาทได้ ส่วนพวกที่เข้ามามีสิทธิในการถือครองที่ดินโดยได้รับการยกเว้นหรือเช่า 99 ปี
ตอนนี้มีการประกาศเขต EEC ไปแล้ว 24 เขต พบว่ามีการทับซ้อนกับนิคมเดิมหลายส่วน ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องสิทธิประโยชน์ แต่ที่น่าตกใจ คือ ไปล้อมรอบโรงเรียน หรือไปครอบคลุมป่าต้นน้ำของชุมชน
อย่างนี้คงเห็นแล้วว่า ใครเป็นพระยาจักรีที่เปิดประตูเมืองให้ต่างชาติ หรือใครเป็นผู้อำนวยการรักษาพระนครที่ห้ามยิงปืนใหญ่ คำถามคือใครจะเป็น พระยาตากที่รวมผู้รักชาติรักแผ่นดินออกมากู้ชาติกันบ้าง

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *