ซีเรีย-ปาเลสไตน์ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก (22) โดย อดุลย์ มานะจิตต์

ซีเรีย-ปาเลสไตน์ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก (22)
โดย อดุลย์ มานะจิตต์
ดังนั้นคาวูดจึงไปหาภรรยาของเขาและกล่าวว่า “สิ่งใดก็ตามที่ฉัน ปรารถนา มันแตกต่างไปจากที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ อันใดก็ตามที่ อัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว มันย่อมต้องบังเกิดขึ้น และเราเป็นข้าทาส ของพระองค์ และเป็นผู้จงรักภักดีต่อพระองค์
ตามรายงานวจนะที่เชื่อถือได้บทหนึ่งเล่ามาจากอิมาม มุฮัมมัด อัล บากิร ว่า สุลัยมาน กล่าวว่า “อัลลอฮ์ทรงประทานสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดให้กับฉัน ซึ่งพระองค์มิทรงเคยประทานให้กับผู้ใด และ พระองค์ทรงให้กับเราเช่นกันในสิ่งที่พระองค์ไม่เคยให้กับผู้อื่น และทรง สอนให้กับเราในทุกสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสอนให้กับพวกเขา และทำให้ พวกเขาไม่ตระหนัก เรามิได้พบในสิ่งใดดีไปกว่าการถ่ายทอดไป ยังผู้คนในเรื่องการยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และการใช้จ่ายไปอย่างพอประมาณเมื่อยามร่ำรวย และการพูดด้วยความยุติธรรมทั้งในยาม ปกติและในยามมีโทสะ และการร่ำไห้และวิงวอนต่อหน้าอัลลอฮ์
ตามสายรายงานที่เล่าสืบกันมาอย่างน่าเชื่อถือซึ่งมีการเล่า ขานมาจากศาสดามุฮัมมัด (ศ) ผู้ซึ่งกล่าวว่า มารดาของสุลัยมาน กล่าวไว้ว่า “โอ้ลูกชายของฉัน จงอย่านอนจนมากเกินไปใน ยามค่ำคืน แต่ควรจะใช้เวลาของเจ้าในการเคารพภักดีอัลลอฮ์ เพราะการนอนมากเกินไปในยามกลางคืน จะทำให้ผู้นั้นยากจน และยากลำบากในวันฟื้นคืนชีพ” มีอีกวจนะหนึ่งกล่าวไว้ว่า สุลัยมาน กล่าวกับบรรดาบุตรชายของเขาว่า “จงอย่าได้ต่อสู้หรือขัดแย้งกับ ผู้คน เพราะมันไม่เป็นประโยชน์อันใด และมันเป็นต้นเหตุของการเป็น ศัตรูกันระหว่างบรรดาผู้ศรัทธา”
อิมาม อัศ ศอดิก กล่าวว่า วันหนึ่งสุลัยมานกล่าวกับบรรดา สหายของเขาว่า “อัลลอฮ์ทรงมอบราชอาณาจักรนี้ และการเป็น กษัตริย์ ดังว่า จะไม่มีผู้ใดได้รับมันอีกภายหลังจากนั้น พระองค์ทรงนำ เอา ลม มนุษย์ ญิน วิหก และสรรพสัตว์ มาเป็นข้าช่วงใช้ของฉัน และสอนภาษาของนกให้กับฉัน และประทานความอุดมทุกชนิดให้กับฉัน แต่ภายหลังจากที่ได้รับมาอย่างมากมาย ฉันก็ไม่สามารถ จะใช้เวลาแม้เพียงสักครูหนึ่งให้มีความสงบสุข ในวันพรุ่งนี้ ฉันอยาก จะขึ้นไปบนยอดพระราชวังของฉัน และมองดูราชอาณาจักรของฉัน ดังนั้นจงอย่าได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาพบฉัน เพราะถ้าหากมีเรื่อง ใดนำมาทูลต่อฉัน ความสะดวกสบายและความสุข ก็จะเปลี่ยนเป็น ความเศร้าระทมและเสียใจ” ผู้คนจึงกล่าวขึ้นว่า “มันจะเป็นเช่นนั้น ในวันรุ่งขึ้น สุลัยมานจึงหยิบไม้เท้าของเขาและขึ้นไปยังจุดที่สูง ที่สุดของพระราชวังและจึงยืนค้ำอยู่บนไม้เท้าของเขาพร้อมกับชมราชอาณาจักร ของพระองค์และจึงบังเกิดความสุขอย่างมากที่ได้เห็นความกว้างใหญ่ ไพศาลซึ่งอัลลอฮ์ทรงมอบให้ ในไม่ช้าดวงตาของเขาจงเหลือบ ไปเห็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อมาก สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ และกำลังเดินเข้ามาหาเขาจากมุมหนึ่งของพระราชวัง สุลัยมานจึงกล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดเป็นผู้อนุญาตให้ท่านเข้ามาในที่นี้ วันนี้ฉันอยากจะอยู่เพียงลำพังคนเดียว” เขาจึงกล่าวตอบว่า “ผู้ทรง เป็นผู้สร้างพระราชวังนี้ เป็นผู้ทรงให้อนุญาตแก่ฉันและด้วยกับ พระอนุมัติของพระองค์ฉันจึงมา” สุลัยมานจึงกล่าวตอบว่า “พระผู้ทรงสร้างพระราชวังนี้ย่อมมีสิทธิ์เหนือกว่าตัวของฉัน ดังนั้นจง บอกเถิดว่าท่านเป็นผู้ใดกัน” ชายหนุ่มผู้นี้จึงกล่าวตอบว่า “ฉันคือทูตมรณะ” สุลัยมานจึงถามว่า “ท่านมาทำไมกัน” เขาจึงกล่าวตอบว่า “ก็เพื่อมาเอาชีวิตของท่าน” สุลัยมานจึงกล่าวว่า “ดังนั้นก็จงปฏิบัติ ภาระกิจที่ท่านถูกบัญชามาเสีย ดังที่ฉันต้องการให้วันนี้ เป็นวันที่ ฉันมีความสุขที่สุดของฉัน และอัลลอฮ์มิทรงชอบที่จะให้ฉันมีความสุข สรรหรรษามากไปกว่านี้” ดังนั้นทูตมรณะจึงเก็บเอาวิญญาณของ สุลัยมานไป ขณ จึงต่างเห็นสุลัยมานและคิดว่าเขาค่ายไม้เท้าของเขาอยู่ ผู้คน นี้จึงเกิดการโต้แย้งกันขึ้นระหว่างพวกเขา บางคนกล่าวว่า “สุลัยมาน จะคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ในสถานการณ์เช่น
กำลังยืนอยู่ในท่านี้มาหลายวันแล้ว และเขาก็ไม่เหนื่อยอ่อน เขาก็ไม่นอนหรือบริโภคหรือดื่มสิ่งใด แน่ๆเลย เขาต้องเป็นพระเจ้าของเราอย่าง แน่นอน และถือเป็นความจำเป็นที่เราต้องเคารพบูชาเขา” อีก กลุ่มหนึ่งคิดว่า สุลัยมานได้แสดงมายากลบางอย่าง และด้วยเหตุนี้ ท่านจึงยังคงยืนอยู่ แต่ความจริงนั้นมันเป็นอย่างอื่น และบรรดา ผู้ศรัทธาพากันกล่าวว่า “เขาเป็นข้าทาสของอัลลอฮ์และเป็นศาสนทูต ของพระองค์ อัลลอฮ์ทรงรักษาเขาไว้ตามพระประสงค์ของพระองค์ เมื่อเกิดการต่อสู้และความแตกแยกขึ้นในหมู่พวกเขา อัลลอฮ์จึงทรง มีบัญชามายังปลวกให้กินไม้เท้าของสุลัยมานจากข้างในออกมา และจึงทำให้มันกลวง ไม้เท้าจึงหักลงและสุลัยมานจึงล้มลงและตกลง มาจากพระราชวัง ดังนั้นพวกญินจึงขอบคุณปลวกและเพื่อเป็น การตอบแทนบุญคุณ จึงถือเป็นหน้าที่ของพวกเขาในการจัดหาอาหาร ให้กับพวกมัน ดังนั้นไม่ว่าปลวกจะปรากฏตน ณ ที่ใด พวกมันก็จะจัด หาน้ำและดินมาให้กับพวกปลวก ในโองการเหล่านี้อัลลอฮ์ตรัสว่า
“แต่เมื่อเราได้บัญชาความตายมาให้กับเขา ไม่มีสิ่งใด แสดงให้เขาเห็นถึงความตายของเขา นอกจากสิ่งถูกสร้างชนิด หนึ่งของแผ่นดินที่มาแทะกินไม้เท้าของเขาจนหมด และเมื่อมันล้มลง พวกญินจึงรู้ได้อย่างชัดแจ้งว่า หากพวกเขารู้ถึง สิ่งที่พ้นญานวิสัย พวกเขาก็จะได้ไม่ต้องมาทนอยู่กับการ ลงโทษอันอัปยศ” (34:14)
หมายถึงงานที่พวกเขากระทำมันภายหลังจากสุลัยมาน เสียชีวิตแล้ว ตามที่สุลัยมานมีบัญชาไว้ก็จะได้ไม่ต้องทำ
ตามสายรายงานของบรรดาผู้เล่าที่น่าเชื่อถือได้ซึ่งเล่ามา จากมุฮัมมัด อัล บากิรว่า สุลัยมานมีบัญชาให้ญินสร้างมัสยิดขึ้นหนึ่ง หลังซึ่งทำด้วยกระจกเงาและนำไปใส่ไว้ใต้น้ำ ญินจึงสร้างมัสยิดนั้น และเอาไปไว้ในแม่น้ำ เหลือเวลาอีกสองสามวันจึงจะเสร็จ สุลัยมานจึง เข้ามาในมัสยิดและใช้ไม้เท้าของเขาค้ำยันตัวของเขาไว้ และอ่านคัมภีร์ ซะบูร และบรรดาชัยฏอนก็ง่วนอยู่รอบๆตัวเขา ดังนั้นสุลัยมานจึงมองมายังพวกมัน และพวกมันก็มองมายังตัวเขา
ทันใดนั้นสุลัยมานมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ณ มุมหนึ่งของ มัสยิดเขาจึงถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร” เขากล่าวตอบว่า “ฉันเป็นคน ที่ไม่รับการกินสินบน และฉันก็ไม่เกรงกลัวกษัตริย์องค์ใด ฉันคือทูต มรณะ” และในขณะที่สุลัยมานอยู่ในท่ายืนนั้น เขาจึงเก็บเอาดวง วิญญาณของเขาไป ผู้คนต่างเห็นเขาในท่าเดียวกันนี้ และเขายืนอยู่ สนบนเ เช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งปี ญินต่างก็ง่วนอยู่กับกิจกรรมของพวกเขา และไม่กล้าที่จะมาตรวจดูถึงสถานภาพของสุลัยมาน และพวกเขา ก็มิได้เห็นมีการเปลี่ยนแปลงอันใดในตัวเขา จนกระทั่งอัลลอฮ์ส่งปลวก มากินไม้เท้าของเขาจากด้านในและเขาจึงล้มลง อันเนื่องมาจากนี้ ญินจึงขอบคุณปลวก และ ณ ที่ใดก็ตามที่ปลวกปรากฏพวกมันก็จะนำ น้ำและดินมาให้ เมื่อสุลัยมานเสียชีวิตแล้ว ซาตานจึงเขียนตำรา มายากล หรือไสยศาสตร์ขึ้นเล่มหนึ่ง มันเขียนไว้ด้านหลังของหนังสือเช่นกันว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ อซีฟ บิน เบิรอะกียะฮ์ เขียน ให้กับสุลัยมานและในหนังสือนี้คือสินสมบัติแห่งวิชาความรู้ ในหนังสือนี้ มันเขียนว่า หากมีผู้ใดต้องการที่จะให้งานนั้นและงานนี้ของเขาทำ สำเร็จ เขาควรต้องแสดงมายากลหรือทำไสยศาสตร์นี้ และแผนการงาน ของเขาก็จะทำสำเร็จ และมันจึงฝังหนังสือเล่มนี้ไว้ใต้ร่างของสุลัยมาน และจากนั้นมันจึงนำมันเอาออกมาให้กับผู้คน บรรดาผู้ปฏิเสธต่าง พูดกันว่า สุลัยมานปกครองเ ไสยศาสตร์ซึ่งอยู่ในหนังสือเล่มนี้ บรรดาผู้ศรัทธากล่าวว่าเขาเป็น และในทุกสิ่งที่เขา ข้าทาสของอัลลอฮ์ และเป็นศาสนทูตของพระองค์ และในทุก กระทำล้วนเป็นไปตามอำนาจของศาสดา และเนื่องมาจากอำนาจ ของอัลลอฮ์ เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เราได้เห็นในซูเราะฮฺ อัล บะกอเราะฮ์ และพวกเขาทำตามในสิ่งที่ชัยฏอนเสกสรรในเรื่องของไสยศาสตร์ใน ระหว่างการครองราชย์ของสุลัยมาน และสุลัยมานมิใช่เป็นผู้ปฏิเสธ
แต่ชัยฏอนเป็นผู้ปฏิเสธ พวกมันสอนมนุษย์ในเรื่องไสยศาสตร์ และ

