jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ท่องอิตาลี - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ท่องอิตาลี

วันที่ ๓๑ กรกฎาคม 2558 เพื่อไม่ให้เร่งรีบ มานั่งคอยที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นชั่วโมง ๆ ได้ถ่ายรูปที่สนามบินไว้บ้าง เพราะเดี๋ยวนี้เขาจัดดีมาก มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องคล้าย ๆ โขน ยกทัพ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ ก็ได้เรียกขึ้นเครื่อง TG 940 บินมามิลาน ซึ่งไม่เคยมาเลย ได้มีโอกาสขึ้นการบินไทยอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เกษียณอายุมาประมาณ ๑๐ ปีแล้ว ทำให้คิดถึงความหลังสมัยที่ยังคล่องแคล่ว
    เมื่อถึงมิลานแล้ว การตรวจพาสปอร์ตเข้าเมืองง่ายมากเหมือนกับที่เยอรมันที่เคยไปบ่อย ๆ นานมาแล้ว ไม่มีการกรอกเอกสารอะไร เพียงแค่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพาสปอร์ต แล้วประทับตราเป็นเสร็จ การตรวจกระเป๋า ก็ง่าย ๆ ถ้าไม่มีของอะไรจะ declare ก็เข็นออกไปเลย เมื่อเข็นออกไปแล้ว ตามลายแทงบอกว่า ให้ขึ้นรถ shutter ไปที่ Milano Central แต่คราวนี้ ที่จอดรถ shutter อยู่ตรงไหนหว่า ดูป้ายก็ไม่ได้เขียนตรงนี้ ก็เลยเดินออกไปถนนด้านหน้า เดินไปเดินมาก็พบรถดังกล่าว ขึ้นไปลงที่สถานีรถไฟ ซึ่งเป็นปลายทางของรถ shutter ได้พบกับลูกที่นี่ ซึ่งก่อนจะขึ้นรถไฟไป Modena ได้แวะทานอาหารเช้าก่อน ก็แค่ขนมปังคนละก้อนกับกาแฟ เสร็จแล้วรีบไปขึ้นรถไฟไป Bologna แต่ลงที่ Modena ระยะทาง 180 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ค่ารถไฟประมาณ 15 ยูโร (ค่ารถ shutter คนละเกือบ 10 ยูโร)
เมื่อถึง Modena แล้วก็เดินลากกระเป๋าไปที่พักของลูก หนักมาก ๆ ตอนขนของขึ้นเครื่อง ก็ enjoy ดี เพราะเขาให้น้ำหนักเยอะ ลืมคิดไปว่า จะต้องแบกกระเป๋าไปมาระยะทางไกล ๆ นี่ยังดีที่มีลูกช่วยแบก ไม่นั้นคงแย่แน่ ๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ออกไป shopping กับลูก ไปที่ร้าน super market ปรากฏว่าเขาปิดบ่าย และเปิดอีกทีตอน 4 โมงครึ่ง จึงเดินไปอีกตลาดหนึ่ง อีกทิศทางหนึ่ง ซื้อของได้ตามประสงค์ ก็แบกกลับบ้าน ทำกินกัน เป็นข้าวที่อร่อยมาก เพราะเว้นข้าวมาเป็นวัน ๆ ลูกก็กินจุเป็นพิเศษเหมือนกัน เมื่ออิ่มแล้ว จึงออกไปเดินเล่น กลับไปที่ร้าน super market เดิม ครั้งนี้เขาเปิด และซื้อของได้ ปรากฏว่ามะเขือเทศสดอร่อยมาก ผลไม้ก็ดีทุกอย่าง เสียแต่แพงมาก ๆ ปรากฏการณ์อันหนึ่งคือตอนบ่าย ๆ ในเมืองคนน้อยมาก เหมือนเมืองร้าง แต่พอแดดร่ม คนออกมาเดินเต็มถนน น่าสนุกมาก เพราะตอนนี้อากาศกำลังดี ที่ถนนคนเดินนั้น คนเดินกันมาก และเห็นรถเฟียต คันเล็ก ๆ เรียกว่า smart สำหรับครอบครัวไหนที่ไม่มีลูก จะใช้ได้ดี เพราะนั่งข้างหน้า 2 คนก็เต็มรถแล้ว
นี่แค่เขียนเพียงวันเดียว แต่ผมจะอยู่จนถึงวันที่ 22 แล้วจะเขียนส่งข่าวมาเรื่อย ๆ นะครับ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

วันนี้วันที่ 2 สิงหาคม 2558 และวันที่ 2 ในเมือง Modena ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ตื่นมาตั้งแต่เที่ยงคืน เพราะตรงกับเวลาเช้าที่คุ้นเคยของบ้านเรา วันอาทิตย์ที่นี่ดูเงียบ ร้านค้าส่วนใหญ่ปิด มีแต่ร้านขายของชำ อาหารแห้งที่เปิดได้ เหมือนประเทศฝรั่งทั่ว ๆ ไป ตอนประมาณบ่ายโมง ได้ขึ้นรถเมล์ไปที่ร้าน coop ซึ่งเป็นศูนย์การค้าตึกใหญ่แบบเดียวกับ The Mall ของสหรัฐ เพื่อซื้อของสดมาทำอาหารที่บ้าน มีสิ่งใหม่ที่บ้านเรายังไม่มี เป็นที่น่าสนใจ คือ ก่อนที่จะเข้า super market มีแผงอุปกรณ์เหมือนกับ remote ตั้งอยู่เป็นแผงใหญ่ในห้อง ลูกค้าจะไปหยิบ remote นี้คนละอัน แล้วเมื่อเลือกของที่ต้องการแล้ว ลูกค้าจะใช้ remote นี้ยิงไปที่บาร์โค้ด ของสินค้าแต่ละอันนั้น ๆ เหมือนกับที่พนักงานเก็บเงินทำตอนจ่ายเงิน เมื่อซื้อเสร็จลูกค้าก็จะมาที่ตู้ด้านหน้า เพื่อใส่ remote เข้าไปในตู้ ซึ่งจะมีรายการซื้อออกมาให้ตรวจสอบ เมื่อถูกต้องแล้ว ลูกค้าก็จ่ายเงินผ่านบัตรเดบิตของธนาคารโดยเสียบบัตรไปที่ตู้นั้น เมื่อเคลียร์บัญชีเรียบร้อย ลูกค้าก็รับของออกมา กลับบ้านได้ วิธีนี้ประหยัดพนักงานเก็บเงินไปได้หลายคน และรวดเร็วมาก แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีคนที่ใช้ระบบเดิม ก็เข็นรถหรือตะกร้าไปที่เคาน์เตอร์ เก็บเงินตามปกติ
เมื่อขึ้นรถเมล์กลับถึงปลายทางใกล้ ๆ ที่พัก ได้แวะกินไอศกรีม ประเภท ไขก๊อกจากตู้เอง คิดเงินตามน้ำหนัก ซึ่งแบบนี้ มีที่สยามพารากอน ชั้นล่างสุด และอีก 2 – 3 แห่ง
กลับมาพักผ่อนที่บ้านสักพัก อยู่นี่มีเวลาเปิดไลน์ และโน้ตบุ๊ก มาก แต่ข้อความที่เข้า ก็เข้ามาเรื่อย ๆ เปิดไม่มีวันหมด ได้ทานข้าวเย็นที่บ้านเช่นเคย และก็คุ้นเคยกว่าไปหากินนอกบ้าน ตอนเย็นที่ยังไม่มืด ก็ถือโอกาสไปเดินออกกำลังกาย ไปทบทวนเส้นทางตลาดสดว่าไปทางไหน และไปดูร้านอาหารของเอเชียด้วย ซึ่งเดินไกลไปอีกมาก แต่ก็ได้พบร้าน และแวะซื้อถั่วฝักยาว มาไว้ผัดทำกับข้าววันพรุ่งนี้ และถือโอกาสถ่ายรูปตามเส้นทางเดินทั่ว ๆ ไป เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้มานั่งเขียนอยู่นี่เอง
ตอนนี้ก็ดึกพอสมควรแล้ว ง่วงไม่ง่วงต้องลองไปงีบดูก่อน
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ฉบับที่ 3
ขณะนี้ เป็นเวลาตี 2 ตั้งแต่มาที่นี่ นอนไม่กี่ชั่วโมง ไม่ค่อยหลับ น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดเวลา เพราะช้ากว่าเมืองไทยถึง 5 ชั่วโมง ไว้หลับตอนนั่งรถหรือช่วงที่ไม่อยากหลับ แต่ก็หลับตอนหัวค่ำ นั่งกอดแท็บเล็ทหลับทุกคืน
เมื่อตอนที่นั่งรถไฟจากมิลาน มา Modena นี่ ลืมบรรยายให้อ่าน เกี่ยวกับทิวทัศน์ข้างทางว่าเป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่ที่เคยเป็นอาชีพของผมที่เคยทำงานด้านส่งเสริมพืชไร่ให้กับเกษตรกรมาหลายปี ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว ที่มองไม่ออกว่าเป็นข้าวเจ้าหรือข้าวสาลี เพราะต้นยังเล็ก ๆ ยังไม่ออกดอก นอกจากนั้น ก็เห็นทานตะวัน ที่หัวคว่ำ เกือบเก็บเกี่ยว และต้นมะเขือเทศ เป็นทุ่งกว้าง อยู่ 1 แปลง สำหรับมะเขือเทศนี้ผมต้องซื้อกินสด ๆ เป็นประจำตามที่หมอแนะนำ เพื่อป้องกันต่อมลูกหมาก ที่คนสูงอายุชอบมีปัญหา รถไฟที่นี่เป็นรถไฟธรรมดา แต่วิ่งเร็วมาก น่าจะเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เห็นสภาพเกษตรกรแล้วคิดถึงความหลัง ที่เมื่ออายุประมาณ 25 ปี ได้มีโอกาสไปอยู่กับฟาร์มเกษตรกรที่สหรัฐอเมริกา รัฐไอดาโฮ และไอโอวา เพื่อช่วยทำงานในฟาร์ม สภาพคล้าย ๆ กับที่นี่มาก
เมื่อวานนี้เป็นวันจันทร์ที่ลูกไปทำงานเลยตื่นกันแต่เช้า เพราะนอนเพียงพอแล้ว ทำกับข้าวกินกันตามความเคยชินที่ทำกันมา เมื่อว่าง ๆ ก็นั่งกดโทรศัพท์ดูข่าวคราวเพื่อน ๆ จนถึงเวลาเกือบเที่ยง ก็กินข้าวกันอีกมื้อหนึ่ง ตามที่ทำไว้ในตอนเช้า เสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก ตั้งใจจะไป coop ที่อยู่นอกเมือง เพราะมีสภาพเป็นศูนย์การค้าที่คุ้นเคย เมื่ออยู่บ้านที่เมืองไทย ได้พยายามออกไปตามที่ลูกเคยพาไปเมื่อวันอาทิตย์ ไม่ให้หลง ใช้บัตรรถเมล์ที่ลูกทิ้งไว้ให้ ไปยืนคอยรถเมล์นานมาก ร่วมชั่วโมง กว่าคันที่คอยจะมาที่ป้าย ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดจนถึงปลายทาง ที่เคยสังเกตว่าจะต้องอ้อมวงเวียนก่อนแล้วถึงลงป้าย ฉะนั้น เมื่ออ้อมวงเวียนแล้ว ก็รีบออกมากดปุ่มจอดป้าย คิดว่าเป็นป้ายหน้า coop แต่รถเมล์เกิดหยุดให้ลงทันที ก็จำเป็นต้องลง กลัวเขาว่าเอา ลงมาก็เคว้ง เพราะมีแต่ทุ่งโล่ง ๆ จะรอคันต่อไปก็คงเป็นชั่วโมง ดูตามรถเมล์ เห็นเลี้ยวขวาข้างหน้า ก็เลยเดินตามรถเมล์ไปในเส้นทางเดียวกัน ถึงกิโลเมตรกว่า ๆ หรือ 2 – 3 กิโลเมตรก็ถึง coop ตามความประสงค์ เดินเข้าไปข้างในแล้ว เห็นคนที่อยู่บนรถเมล์ด้วยกันเดินอยู่ในนั้น หลายคน ไม่ทราบว่าเขาจะจำเราได้หรือไม่ ที่ลงป้ายไปก่อนจะถึง แล้วเดินมา ถ้าเขาทราบกันก็คงจะขำเราได้
ขณะที่ เข้าไปดูของในร้าน super market แต่ไม่ได้ซื้ออะไร ตามหลักที่เคยทราบ ต้องเดินออกทางแคทเชียร์ เพื่อเคลียร์ว่าไม่มีอะไรติดตัวมา แต่ที่นี่ไม่ใช่ เขาให้ออกอีกทางหนึ่ง ซึ่งตั้งแผงสัญญาณตรวจสอบของไว้ ก็ไม่เคยชิน ต้องอภัยให้ตัวเองเป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกลงผิดป้ายรถเมล์) เดินไปมาแล้วเมื่อย ไปนั่งกินพิซซ่า ที่ร้าน Flunch ดูเหมือน food court ตามศูนย์การค้าบ้านเรา แต่ที่นี่ ไปตักอาหารแบบบุฟเฟ่ ยกเว้นพิซซ่าที่สั่งและจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย ส่วนที่กินอย่างอื่น ตักแล้วไปคิดเงินกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์ คิดเงินแล้ว หาโต๊ะนั่งเอง จนอิ่ม หลายคนก็นำถาด ภาชนะใช้แล้วไปวางที่เคาน์เตอร์ที่เขาจัดไว้
ผู้ชายหนุ่ม ๆ ที่นี่ โกนผมกันหลายคน ไม่ทราบว่าเป็นแฟชั่น หรือสังเกตดู ผมเดิมบนศีรษะไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าเป็นกรรมพันธุ์ของผู้ชายหรือไม่ที่ศีรษะล้าน หรือเวลาสระผมกับน้ำร้อนมาก ๆ ทำให้ผมร่วง เรื่องนี้ ตั้งแต่ดูหนังเรื่องคลีโอพัตรา ราชินีผู้เลอโฉมแห่งกรุงโรม ตั้งแต่สมัยเด็กที่พระเอกหัวล้าน (ยูน บรินเนอร์) ก็เป็นมาถึงปัจจุบัน แต่ถึงแม้จะศีรษะล้าน แต่ละคนที่มีแฟนเดินด้วยล้วนแต่สวยๆทั้งนั้น อย่าบอกใครนะครับว่าสาว ๆ ที่นี่ไม่ได้รังเกียจคนศีรษะล้านเลย คงเห็นว่าหล่อดีด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลาบ่าย สองกว่า ๆ ก็เดินกลับไปขึ้นรถเมล์ ตามเส้นทางเดิม ขากลับนี้ไม่มีปัญหาเรื่องความผิดพลาด แต่ก็ต้องยืนคอยรถเมล์เป็นชั่วโมงเช่นกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารถยนต์ มีประโยชน์ตรงนี้เองถึงแถวที่พักในเมืองก็บ่าย 3 กว่าแล้ว เมื่อเดินไป ตรงตลาดสด ปรากฏว่าปิดแล้ว จึงกลับที่พักตั้งหลักก่อน แล้ว หลัง 4.30 น. ก็เดินไปตลาด super market ใกล้ ๆ บ้าน ครั้งนี้ ได้ซื้อโค้กมากินด้วย เพราะดื่มแต่น้ำก๊อกมานานชักเซ็ง ๆ
ตอนเดินกลับที่พัก หลังจากที่ไป coop นั้น ค่อนข้างประมาท คิดว่าจำที่พักได้ เดินเป๋ออกนอกทางเพื่อไปตลาดสด แต่ความจริง สภาพของบ้านเมืองเป็นบล็อก ๆ คล้าย ๆ กันหมด จำไม่ได้ ต้องไปถามร้านกาแฟ ที่อยู่ใกล้ ๆ และเมื่อถึงตอนเย็น หลังอาหารเย็นก็ออกไปเดินเล่นเช่นเดียวกัน ที่นี่มีร้านค้าริมทาง และถนนที่คนเดินตอนหัวค่ำคึกคัก และอากาศเย็น รู้สึกดีที่ได้เดินเล่น เช่นเดิม คือขากลับ เกือบจำที่พักไม่ได้ ต้อง เดินไกลกว่าที่ควรเล็กน้อย อ้อ ที่นี่ ถนน ตึก เป็นตาหมากรุก คือเชื่อมต่อกันเป็นบล็อก
เหมือนคืนที่ผ่านๆมา นั่งปล้ำกับแท็บเล็ทที่ไม่คุ้นเคยกับมันจนหลับคาแท็บเล็ทไปพักใหญ่ ๆ จึงอาบน้ำนอนตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ พบกันฉบับหน้าครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 4
วันนี้เป็นวันพุธที่ 5 สิงหาคม วันเวลาเดินเร็ว มาอยู่ที่ Modena ได้ 5 วัน จากรายการท่องอิตาลี 22 วัน เมื่อวานนี้คือ วันอังคารไม่ได้ออกไปที่ไหนไกล ได้แต่ไปซื้อของที่ตลาดสด ซึ่งเข้าใจว่าเป็นของเอกชน และปิดค่อนข้างเร็ว และตอนเย็น กินข้าวเสร็จ ก็ออกไปเดินย่อยอาหารที่คนมาก ๆ
สำหรับตลาดสดใกล้ ๆ ที่เล่ามานี้ มีของขายไม่มาก ที่เห็น คือเนื้อหมู ไก่ พวกแฮม เบคอน และมีผักอยู่ไม่มากชนิด ผักที่เห็นก็ไม่กล้าซื้อมาผัดกิน เพราะดูไม่คุ้นเคย ซื้อได้แต่กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก สำหรับกะหล่ำปลีหัวใหญ่ และแข็ง เคี้ยวไม่ออก ต้องทำแกงจืด ต้มไว้นาน ๆ
สำหรับผลไม้มีจำหน่ายมากเป็นสินค้าหลัก มีพวกลูกพีช และที่ลักษณะใกล้เคียง นอกจากนั้น ก็มีองุ่น สตรอเบอรี่ และแตงโม
สำหรับแอบเปิ้ลในช่วงนี้มีไม่มากเห็นอยู่เจ้าเดียว เป็นพันธุ์ ฟูจิ แพงหน่อย แต่ก็ต้องซื้อ เพราะช่วยย่อยดี กล้วยหอมลูกใหญ่ และกินอร่อยดี ก็ต้องซื้อประจำทุกวัน
เรื่องมะเขือเทศ มีบนแผงมากมายหลายพันธุ์ และหลาย ๆ แผง รูปลักษณะแปลก ๆ มีทั้งผลเล็กใหญ่หลายขนาด รูปกลม ๆ ทรงกรวย ทรงฉัตร และหยัก ๆ ท่าทางจะสดดี ที่เคยนั่งรถไฟ จากมิลานมาเห็นเขาปลูกมะเขือเทศ ที่นี่น่าจะปลูกเอง ผมต้องซื้อมะเขือเทศสด ๆ มากินทุกวัน เนื่องจากหมอแนะนำให้ใช้แก้ปัญหาต่อมลูกหมาก ซึ่งลองดูแก้ได้ดี กินมาก ๆ ค่า PSA ลดลง ไม่ทราบว่าเกี่ยวกันหรือไม่ แต่มะเขือเทศที่นี่สดและอร่อยมาก
นอกจากอาหารสดแล้ว ยังมีร้านขนมปังชนิดต่าง ๆ เพราะที่นี่กินขนมปังเป็นอาหารหลัก ได้ซื้อมาชิม จากหลายร้าน พบว่าอร่อยมาก ถ้าได้อยู่ที่นี่ประจำ จะต้องเพิ่มน้ำหนักแน่นอน
ที่แผงผักใหญ่ที่ขายผักและผลไม้ ที่นั่น แผงหนึ่ง มีแขก พ่อแม่ลูกเป็นเจ้าของ นอกจากผลไม้ได้ไปซื้อพริกเม็ดเล็กที่ร้านนี้ แขกตัวแม่รีบมาเตือนว่า very strong เราก็ขอบคุณ ซื้อเอามาทำข้าวผัดกิน ปรากฏว่าชูรส อร่อยมาก ไม่ได้มีเผ็ด ๆ มาหลายวันชักคิดถึง แขกมันไม่รู้ว่า ยิ่งเผ็ดยิ่งดีสำหรับเรา you know me a little go คุณรู้จักฉันน้อยไป
ความจริง ร้านที่ซื้อกับข้าว ผลไม้มาทำ นั้นยังมี super market เล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน แต่ไม่มีอะไรมากนัก ที่ไปบ่อยเนื่องจากอยู่ใกล้ที่พัก แต่เปิดปิดเป็นเวลา มีการปิดในช่วงบ่าย ๆ แล้วเปิดอีกครั้งตอนเย็น
และยังมีร้านที่ขายคนเอเชีย อยู่ไกลออกไป ประมาณ เกือบ 1 กม ซึ่งยังไม่ได้ไปเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกได้ซื้อถั่วฝักยาว มาผัดกินอร่อยมาก เพราะคุ้นเคยกับมัน
สำหรับการออกไปเดินหลังอาหารเย็นนั้น ได้ปฏิบัติประจำทุกวัน เพื่อเป็นการย่อยอาหาร และออกไปดูคน ที่นี่ ว่าเขาทำอะไรกัน สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นที่อิจฉา คือในช่วงฤดูร้อนนี้ อากาศที่นี่ดีมาก ๆ ลมโกรกเย็นสบายกำลังพอเหมาะ นอกจากรถยนต์แล้ว คนที่นี่ขี่จักรยานเป็นพาหนะสำคัญ เหมือนในเนเธอร์แลนด์ และหลาย ๆ แห่งในยุโรป
ในขณะที่ จะมืดก็เกือบ 3 ทุ่ม ช่วงก่อนมืด คนจะออกมาเดิน มากินข้าวกับเพื่อน ๆ หรือกับครอบครัว ตามร้านกาแฟ หรือบาร์ เขา ออกมาตั้งโต๊ะ เก้าอี้ริมถนน ซึ่งพวกเขาโชคดีมาก ๆ ในเรื่องของอากาศ เหมือนที่กล่าวมาแล้ว ในเรื่องของอากาศเสีย น้อยมากเพราะไม่ค่อยมีรถยนต์ มีรถจอดให้เห็นเยอะ คงหาที่จอดลำบาก แต่ไม่เห็นรถวิ่งมากนัก หรือไม่มีรถติดเหมือนเมืองอื่น ๆ ยกเว้นติดไฟแดง ถ้าจะถามว่าบรรยากาศที่นี่เหมือนที่กรุงโรมหรือไม่ ขอตอบได้เลยว่าไม่เหมือน ที่นี่ดูจะมีความสุขมากกว่า และบรรยากาศดีกว่าถ้าต้องการความสงบที่แท้จริง สำหรับคนหนุ่มคนสาวที่นี่ ดูเรียบร้อย หน้าตาก็เหมือน ฝรั่งโดยทั่วไป ยกเว้นคนต่างชาติ ที่เข้ามาอยู่ ชาวผิวดำก็มีอยู่มาก แต่ที่นี่ก็ยังเป็น minority ถ้าจะถามว่า สาว ๆ ที่แต่งตัวในฤดูร้อนนั้นเซ็กซี่ไหม เขาก็พยายามใส่เสื้อผ้า น้อย ๆ หลวม ๆ ดูดีกว่าตอนฤดูหนาว แต่เนื่องจากวัยของคนที่มอง คือผมเอง มีสิทธิ์แค่ได้แต่มองอย่างเดียว อย่างอื่นหมดเวลาสำหรับเราแล้ว เลยไม่ทราบว่าเขาเซ็กซี่กันมากน้อยขนาดไหน พอดี แว่นตาของภรรยาผม นั้น ตัวรองจมูกหลุดหายไป และกรอบ นอตที่ล็อกเลนซ์ไว้หลุดไปข้างหนึ่งด้วย เมื่อเดินผ่านร้านแว่นตา ก็เลยเอาไปให้เขาซ่อมให้ ถ้าเป็นที่เมืองไทย ของแบบนี้ เขาไม่คิดเงิน ทำให้ฟรี ถือว่าเล็กน้อย แต่มาที่นี่ เขาก็ไม่ได้คิดค่าแรง แต่เขาบังคับขายน้ำยาล้างเลนซ์ ขวดเล็กๆ ขวดละ 5 ยูโร เป็นการตอบแทน
ที่มานั่งเขียนอยู่นี้ เป็นเวลาตี 3 กว่า ลุกขึ้นแต่เช้าเช่นเคย ตอนนี้ ตี 5 ครึ่งแล้ว ต้องขอจบเพียงเท่านี้ พบกันใหม่ ฉบับต่อไปครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 5 วันพฤหัสบดี ที่ 6 สิงหาคม 2558
เมื่อวานนี้  ตอนกลางวัน ได้ไปที่ร้านขายของคนเอเชีย ซึ่งอยู่ห่างออกไปนอกเมือง และตอนเย็น ได้ไปเดินดูผู้คนตามปกติ แต่เปลี่ยนเส้นทางเดินไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เราพยายามออกจากบ้านแต่เช้า หลังจากเสร็จภารกิจ อาหารเช้าประจำวัน  มาอยู่ที่ Modena นี้ ไม่ต้องเช็ดรถเหมือนที่บ้านในเมืองไทย และยังไม่เคยเห็นใครเช็ดรถ คงเป็นเพราะอากาศแห้ง ฝนไม่มี  และที่เห็นเดินรอบ ๆ ก็ยังไม่เห็นบ้านเดี่ยว ๆ ที่จอดรถภายในบ้าน มีแต่จอดที่ริมถนนทั่ว ๆ ไป ยกเว้นจะถอยรถเข้าไปจอดในห้องแถวข้างถนน
ที่ร้านขายของคนเอเชียนี้ ถือว่าเป็นร้านเล็ก ๆ  มีอยู่ 3 แห่ง แห่งแรกอยู่ทางเหนือของที่พัก ขายพวกอาหาร เนื้อสัตว์แช่แข็ง อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋องหรือกล่อง ตลอดจนเครื่องดื่ม ซึ่งหลายอย่างก็ไม่ได้มาจากเอเชีย แต่มาจากแถว ๆ นั้นเอง หลังจากที่เดินดูจนทั่ว ให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรจะซื้อ เพราะอาหารสดไม่มี ยกเว้นมะระอยู่ 2 ผล ซึ่งเห็นมานาน ค่อนข้างเก่า เลยตัดสินใจไม่ซื้อ ไว้ไปกินมะระผัดไข่ที่บ้านเราเองดีกว่า เมื่อออกจากร้านแล้ว คู่ที่เดินด้วยกันรู้สึกเมื่อย เลยไปนั่งร้านเล็ก ๆ ซื้อโค้กและฮอทดอกมาชิมแก้เมื่อย ซึ่งคนขายบริการอย่างดีด้วยภาษาใบ้ เพราะอยู่ที่นี่ไม่มีอะไรจะติดต่อกันได้ดีด้วยท่าทาง ภาษาใบ้
ข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือคนที่เดินหรือขี่จักรยานบนถนนที่มีอยู่มากที่นี่ใส่แว่นตากันแดดเป็นส่วนใหญ่ ประมาณว่าประมาณ ร้อยละ 60 – 70 ใส่แว่นตากันแดด หรือเสียบแว่นกันแดดไว้เหนือหน้าผาก ที่ทำกันทั่ว ๆ ไป ที่เป็นเช่นนี้ เดาเอาว่าเพราะแดดค่อนข้างแรงในหน้าร้อนนี้ และโอกาสที่จะมีแดดคงไม่กี่เดือน อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาว ตามธรรมชาติต่อไป ก็ขอถนอมสายตาไว้ก่อน
สำหรับร้านคนเอเชียร้านที่ 2 อยู่ทางทิศตะวันตกของที่พัก เป็นร้านใหญ่ กว้างขวาง มองเข้าไปในร้านดูลึกมาก มีสินค้าพวกเสื้อผ้า ของใช้ราคาถูก ดูแล้วคงไม่ใช่ของมีคุณภาพ แต่เป็นของใช้จำเป็นภายในบ้าน ได้ซื้อผ้าปูโต๊ะมา ๑ ผืน สำหรับโต๊ะที่พักของลูก ตอนแรกจะซื้อแบบราคา ยูโรเดียว (38 บาท) แต่ดูบอบบาง คงไม่ทนทาน เลยซื้อแบบ 4 ยูโร พอมาจ่ายเงินจริง กลายเป็น 3.50 ยูโร ดูใช้ได้ดี ออกจากร้านคนเอเชียร้านที่ 2 นี้แล้ว ก็ไป ซุปเปอร์มาร์เกต ที่มาประจำอยู่ใกล้ ๆ บ้าน ซื้อผลไม้ โค้ก และอาหารอื่น ๆ จนเดี๋ยวนี้รู้วิธีการที่หยิบสินค้าใส่ถุงแล้วเอาไปชั่งเอง ดูรูปภาพ หรือเบอร์ให้ตรงกับป้ายที่ติดไว้เหนือสินค้านั้น ๆ กดปุ่ม ก็มีราคาออกมาง่ายมาก แต่ที่บ้านเราคงทำแบบนี้ไม่ได้เพราะคนเยอะ และยังมีคนที่ไม่น่าไว้ใจอยู่บ้าง เช่น ดูแค่เวลารถติดในถนน ทุกครั้ง จะมีคนแซงออกมานอกแถวเพื่อไปแทรกเอาข้างหน้า นี่คือลักษณะของพวกเราที่อยู่กันทุกวันนี้
ดูลักษณะคนที่นี่ เป็นแบบช่วยเหลือตัวเองสูง แบบที่ coop ตามที่เล่าให้อ่าน และที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แห่งนี้ นอกจากนั้น การรักษาความสะอาด บ้านเมือง (มีขี้หมา และรอยปัสสาวะริมกำแพงบ้างเล็กน้อย) การทิ้งขยะ ดูมีระเบียบวินัย สะอาด มีถังขยะใหญ่ๆ ตั้งเรียงกันอยู่ทั่วไป แต่ละถังใหญ่ๆ มีเขียนให้แยกขยะ  อ่านไม่ออกแตดูรูป เห็นมีถังขยะใส่ถุง ใส่ขวดน้ำ ใส่เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถยนต์ ไม่ทราบว่าผิดหรือถูก แต่นี่ดูจากรูปที่ปิดไว้ ที่ถังขยะแต่ละถัง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สามารถเข้ารวมถึงลักษณะความมีระเบียบของคนในยุโรปทั่ว ๆ ไป ผิดกับความน่ากลัว ที่สมัยทำงาน ได้ไปที่กรุงโรม เป็นประจำ คนที่กรุงโรมส่วนใหญ่ก็ดี แต่เนื่องจากเมืองใหญ่ เหมือนกับเมืองท่องเที่ยวทั่วไป ที่มีมิจฉาชีพ และคนโกงมาก
ร้านของคนเอเชียร้านที่ 3 นี้อยู่ทางทิศตะวันออกของที่พัก เป็นร้านขายของชำ ร้านนี้สำหรับคนเอเชีย และอัฟริกาด้วย เข้าไปเดิน ๆ ดู ไม่มีอะไรแปลก ก็กลับออกมา แต่คนเข้าร้าน มีตลอดเวลา ประปราย ยังมีร้านที่เป็นของคนเอเชีย ส่วนใหญ่เป็นคนจีน เหมือนกับที่ทั้ง 3 ร้านที่กล่าวมาเป็นของคนจีนทั้งหมด ร้านอื่น ๆ ก็ขายกระเป๋าถือทั้งแบรนด์เนม และไม่ จะเห็นว่าคนจีน ทำการค้าได้ก้าวหน้า แขกอินเดียก็ได้พบเหมือนกัน เป็นเจ้าของแผงผักผลไม้ในตลาดสด ครอบครัวเดียว หลายแผง คือไปยืนแผงไหนละแวกนั้นก็ของเขาหมด เชื่อหรือไม่ว่ากระเป๋าถือ และเสื้อผ้าของสุภาพสตรี ราคาเป็นหมื่น ๆ หรือหลายหมื่น น่าจะจัดนำเที่ยวตลาดโรงเกลือที่อรัญประเทศ
ในการเดินย่อยอาหาร เมื่อวาน ตอนค่ำ เปลี่ยนเส้นทาง ไม่ได้ไปตรงกลางเมืองที่คนไปเดิน นั่ง ดื่มเครื่องดื่มกลางแจ้งกันมาก ๆ แต่เดินแยกออกไปที่ลานกว้าง ๆ เหมือนสนามหลวง มีคนมาวิ่ง และขี่จักรยานออกกำลังกัน เช่นเดียวกับทุกมุมโลก แต่คนเมืองหนาวนี้ มีโอกาสออกกำลังกายไม่ได้ทั้งปี เพราะมีช่วงที่หิมะตก จากที่เดินตรงนั้นแล้ว เลยเดินอ้อมไปทางด้านใต้ เพราะทราบดีว่าถนนที่นี่ เชื่อมต่อกันได้หมด ไม่ต้องย้อนกลับที่เดิม เดินไปก็พบป้ายรถเมล์ ที่เคยมายืน รอรถไป coop มา 2 ครั้ง เดินอ้อมต่อไปเรื่อย ๆ ไปสู่ ตึกใหญ่ ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นที่ทำการของรัฐบาล ที่อยู่กันเป็นย่านตรงนั้น  และโบสถ์ใหญ่ ๆ อีกแห่งหนึ่ง ด้านขวา ของถนนเป็นสวนสาธารณะที่กว้าง ต้นไม้ปกคลุมครึ้ม ซึ่งรวมถึงต้นไม้ใหญ่คลุมถนนที่ผ่านด้วย คนจึงมาวิ่งออกกำลังกาย กันประปราย ไม่เหมือนที่สวนลุม บ้านเรา เพราะที่นี่ คนจะทยอยวิ่งหรือขี่จักรยานผ่านเรา ทั้งสวนทาง และแซงเราไป  เรื่อย ๆ ไม่หนาแน่น
มีสาวอยู่คนหนึ่ง อายุคงไม่เกิน 25 ปี วิ่งสวนแล้ววิ่งกลับมาดูกระฉับกระเฉง คือว่าวิ่งทุกวันมานานแล้ว แต่ดูที่ทุกส่วนของร่างกาย ส่วนบน ตะโพก น่อง ก็ยังดูกระเพื่อมเล็กน้อยเหมือนอุดมไปด้วยไขมัน ตรงนี้คง
เป็นอิทธิพลของอากาศ ที่ทำให้คนต้องกินไขมันโปรตีนสูง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น สาวคนนั้น ถ้าเทียบกับผม ผมก็จะสูงเพียงราวจมูก ของเขา และผมจะดูผอมตัวเล็กไปเลย
ในที่สุด ก็ได้เดินวนกลับมาที่ใจกลางเมืองดังคาด ก็เลยไปนั่งพัก นั่งเล่นให้เหมือนชาวเมืองทั่วไป ที่โบสถ์  ซึ่งมียอดสูงมาก ๆ ที่เป็นแลนมาร์คของเรา อยู่ตรงไหนของเมืองก็เห็นยอดโบสถ์นี้ คือจะเดินไปไหน ก็ให้กลับมาที่โบสถ์ยอดสูง ๆ นี้ แล้วก็จะถึงที่พักเอง โบสถ์นี้คงจะเป็นจุดท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองอื่น คงจะเก่าหลายร้อยปี หรือเป็นพันปี มีคนมายืนถ่ายรูปกันมาก แต่นักท่องเที่ยวที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ ยังไม่เคยเห็น 
ขณะที่นั่งอยู่มีครอบครัวผิวดำนั่งอยู่เยื้อง ๆ กัน ครอบครัวนี้คงมีลูกชาย 2 คน เป็นพี่น้องกัน คนน้องเล่นฟุตบอลที่ลานนั้นเก่งมาก ทั้งเลี้ยงหลบหลีก และเดาะบอล คนพี่ตามแย่งไม่ได้เลย คนพี่คงประมาณ 10 ขวบกว่า ๆ และคนน้องก็ต่ำกว่านั้น 1 – 2 ปี ทำให้คิดถึงตัวเองสมัยเด็ก ๆ ที่ทำอะไรก็สู้น้องไม่ได้ น้องเล่นฟุตบอลเก่ง และเป็นนักสู้ตามริมถนนด้วย มีใครมาแกล้งเราน้องจะขวางหน้า เข้าสู้อยู่เสมอ ๆ
จากนั้น นั่งพอสบาย ๆ ก็ต้องรีบกลับที่พัก อยู่ที่นี่ มีปัญหาอยู่อย่าง ที่ออกมาข้างนอก ไม่ทราบว่าจะเข้าห้องน้ำที่ไหน และคนแก่อย่างเราก็ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยด้วย อ่านหนังสือนำเที่ยวอิตาลี เขาแนะให้ไปนั่งซื้อเครื่องดื่มที่บาร์ แต่ยังไม่เคยลอง ก็ยังกลั้นมาเข้าที่เราพักได้อยู่
ตามที่สังเกตดูหลาย ๆ แห่งที่เป็นเมืองเก่า เขาจะรักษาตึกเก่า ๆ ไว้ ไม่ทำลาย แต่ด้านในตกแต่งใหม่ ทำเป็นร้านค้า หรือที่พัก ถือได้ว่าเป็นย่านใจกลางเมือง แต่อาคารใหม่ทันสมัย เช่น ตึกให้เช่าที่ทำงาน บริษัทใหญ่ ๆ และศูนย์การค้า เขาจะหลีกไปสร้างที่ชานเมือง ฉะนั้น คนทำงานจำนวนมาก และคนที่ต้องการซื้อของ หรือทำงานบริษัทใหญ่ ๆ ก็ต้องออกไปนอกเมืองส่วนหนึ่งอยู่แล้ว ตรงข้ามกับบ้านเราที่สร้างศูนย์กลางทุกอย่างอยู่ใจกลางเมือง และไม่ค่อยมีแหล่งเก่า ๆ อนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานภาคภูมิใจ
วันนี้ ตื่นสายหน่อย ขณะนี้ 6.30 น. ขอหยุดแค่นี้ พบกันพรุ่งนี้ครับ  ด้วยความคิดถึงทุก ๆ คน
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 6 วันที่ ๗ สิงหาคม 2558
วันนี้ก็ตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคย แต่ขณะที่ตื่นเกือบ ๆ ตี 4 ที่เมืองไทยคงจะเริ่มทำงานกันแล้ว หรือประมาณเกือบ 9 โมงเช้า วันนี้เป็นวันที่ลูกเริ่มต้นลาพัก แล้วชวนพ่อแม่ไปเที่ยวด้วยการเช่ารถ และแกะแผนที่ โดยจะเริ่มออกตอนบ่าย การเดินทางครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณ 7 วัน โดยมีแผนจะไปเวียนนา เป็นเมืองปลายทาง แล้วกลับมาที่โครเอเซีย ซึ่งอยู่ข้าง ๆ อิตาลี นั่นเอง ดูจากแผนที่ที่จะไป เห็นเส้นทางที่ผ่านเมืองเวนิชด้วย แต่ไม่ทราบว่าจะได้แวะหรือไม่
ในส่วนตัวของผม เคยไปเวนิช โดยลงรถไฟที่นั่งมาจากโรม แต่เช้า และขึ้นรถไฟไปต่อตอนเย็น เมื่อไปประชุมที่ FAO เมื่อประมาณ 40 ปีก่อน หรือเป็นวันแรกที่ลูกคนเล็กเกิดพอดี ครั้งนั้น ได้มีเป้าหมายไปเที่ยวที่เวียนนา ซึ่งไปเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
การเดินทางไปต่างประเทศหลาย ๆ ครั้ง ส่วนใหญ่ ผมไม่ได้เห็นอะไร ตามที่คนมาเที่ยวโดยตรงได้เห็น เพราะเมื่อมีเวลาว่างเว้นจากกิจกรรมที่มาทำ ก็ได้แต่เดินเที่ยว ดูเมือง หรืออย่างเก่งก็ไปพิพิธภัณฑ์ของเมืองนั้น ๆ เป็นการประหยัดเงินของตัวเอง ครั้งนั้นที่ไปเวนิช และเวียนนา ก็เช่นเดียวกัน ได้ชื่อว่าไปที่นั่น แต่ก็แค่เดินเที่ยวชมเมืองเท่านั้นเอง
สำหรับประเทศโครเอเซีย ยังไม่เคยไป แต่ผมก็เคยไปอบรมการปลูกทานตะวัน ที่เมือง Novi Sad ประเทศยูโกสลาเวีย เป็นเวลา 1 crop หรือประมาณ 5 เดือน ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ภรรยาท้องลูกคนแรก หรือประมาณ 36 ปีมาแล้ว และยังได้กลับมาประชุม สัมมนา เรื่องทานตะวัน และประชุมระดับโลก ที่เมืองนั้น อีกถึง 3 ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เดินทางไป และแวะค้างคืนที่อิตาลี ได้ทำกระเป๋าที่ซื้อ crystal ไว้หายทั้งกระเป๋าตอนเดินทางจากโรมกลับกรุงเทพฯ ด้วยความโง่เขลา และขาดความระมัดระวัง แต่การแวะที่อิตาลีครั้งนั้น มีความประทับใจที่ได้ขึ้นรถไฟไปเที่ยวหอเอนปีซ่า แบบออกแต่เช้าและกลับเย็น ด้วยตัวคนเดียว สำหรับการที่ได้ไปอบรมเรื่องทานตะวันนั้น พอดีทางบริษัท Pacific Seed ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ออสเตรเลีย มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมเมล็ดทานตะวันในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านั้น ยังไม่มีมาก่อน ซึ่งลำพังเฉพาะเอกชน คงจะทำไม่ได้ ทางกรมส่งเสริมการเกษตร โดยความสนับสนุน ของท่านรองอนันต์ ดาโลดม ในสมัยนั้น มีผมเป็นแม่งาน ได้เข้าร่วมกับบริษัท โดยทุ่มงบประมาณเต็มที่เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งปัจจุบัน ทานตะวันเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทย เรื่องนี้ต้องยกย่องน้อง ๆ เช่น คุณสุพจน์ แสงประทุม และ ดร. นันทวัน สโรบล ที่เป็นผู้ร่วมบุกเบิกอย่างเข้มแข็ง พูดเลยมาถึงขั้นนี้ ก็ขอบันทึกความภาคภูมิใจต่อด้วยว่า การปลูกข้าวโพดพันธุ์ลูกผสม การปลูกพืชไร่ในนา และการแลกเปลี่ยนพันธุ์ ข้าว พืชไร่ต่าง ๆ ให้เป็นพันธุ์ดีนั้น เกิดจากความคิด เป็นฝีมือของผมที่ร่วมกับพี่น้อง ๆ ด้วย ทำให้พืชไร่และข้าวพันธุดีที่เราบริโภคอยู่มีคุณภาพดีในปัจจุบัน
เมื่อวานนี้ ใช้เวลาอยู่ที่พัก เพราะไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน เห็นลูกบอกว่ามีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับ เฟอรารี่ แต่ยังไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน คงต้องไปแวะเวียนสักครั้งหนึ่ง เผื่อเขาให้เข้าฟรี โดยไม่มีการเก็บเงิน เมื่อวานนี้ จึงได้ไปแต่ซื้ออาหารผลไม้ที่ตลาด super market ใกล้ ๆ บ้าน และหลังอาหารเย็นได้ไปเดินย่อยอาหารตามปกติ โดยกำหนดระยะทางเดินให้ยาวขึ้น จะได้เดินมากขึ้น ซึ่งเมื่อวานได้ผ่านสถานีรถไฟที่มาวันแรก แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน เพิ่งเห็นเมื่อวานนี้เอง ที่สถานีรถไฟนั้น เห็นร้าน Mc Donald ตั้งอยู่ เป็นที่อุ่นใจว่า ถ้าไม่ทำกินที่บ้าน ก็มาร้านแมค นี้ได้ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกนี้ ถ้าไปคนเดียว ไม่มีเพื่อน ก็จะอาศัยร้านแมค พยุงท้อง ง่ายต่อการซื้อหา ชี้ ๆ เอา และไม่ต้องใช้ภาษาพื้นเมืองให้เวียนหัว แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนกลับบ้าน ตั้งใจจะไปนั่งกินพิซซ่าที่อร่อย ๆ และมีอยู่ร้านหนึ่ง ที่มีคนเข้าเยอะตอนเย็น ๆ อยู่หลังที่พักนี่เอง สำหรับ สปาเก็ตตี้ ยังไม่มีไอเดียว่าที่ไหนดี แต่เราเองคุ้นเคยกับสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเลที่เมืองไทย อย่างไรก็ตาม มีเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ส่งไลน์มาแนะนำวิธีทำสปาเก็ตตี้ เพื่อให้ชิมไวน์ที่นี่ได้รสชาติ และเข้ากับบรรยากาศ ว่าเป็นอิตาเลี่ยนแท้ ในตอนนี้ ยังหาเพื่อนชิมไวน์ยังไม่ได้ คนเดียวจะดื่มตั้ง 3 – 4 ขวดในครั้งเดียวคงไม่ไหว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้ว คงมันส์ทีเดียว
ตั้งแต่นี้ ต่อไปอีก 7 วันคงมีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าสู่กันบ้าง เนื่องจากแผนการเดินทางที่ลูกจัดทำขึ้น พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 7 วันที่ 8 สิงหาคม 2558
วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ออกเดินทาง จากอิตาลี ผ่านประเทศสโลวีเนีย และมาพักค้างคืนอยู่ที่เมือง Graz ประเทศออสเตรีย ออกเดินทางจากที่พักเมือง Modena ตั้งแต่เวลาบ่าย 2 กว่า โดยรถเช่าคันเล็ก ๆ Fiat ขนาด 500 ซีซี แต่ก็ใช้งานได้ดี วิ่งรถในเมืองค่อนข้างซับซ้อน เพราะชิดขวา เราไม่คุ้นเคย แต่พอออกทางยาวแล้วก็ไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีไฟแดง รถที่วิ่งช้าจะชิดขวาเลนในทุกคัน หรือพอแซงแล้วก็เข้าเลนในหมด อำนวยความสะดวกให้กับรถที่วิ่งเร็วกว่าได้แซงไปในเลนนอก ซึ่งมีรถที่วิ่งเร็วผ่านไปหลายคัน ตลอดเวลาที่ใช้ถนน
ตอนที่ออกจากเมือง ลูกเป็นผู้ขับ แต่พอออกมาทางไฮเวย์ในอิตาลี ก็เปลี่ยนให้ผมขับ เนื่องจากลูกไม่ได้ทำใบขับขี่ที่อิตาลี และอยู่มาเกิน 1 ปีแล้ว ใช้ใบขับขี่สากลของเมืองไทยไม่ได้ แต่พอพ้นเขตอิตาลีแล้ว ลูกก็เป็นผู้ขับ และผมเป็นผู้หลับ ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว เมื่อขับมาได้พักใหญ่ ๆ ก็ได้แวะที่พักริมทาง เพื่อเข้าห้องน้ำ ขับรถผ่านปั๊มน้ำมันที่พักริมทางอย่างไม่สนใจ เมื่อผ่านเลยปั๊มไปชั่วนาที ไม่สามารถย้อนกลับได้ หน้าปัดโชว์ตัวแดงว่าน้ำมันหมด ทำให้เครียดพอสมควร เพราะกว่าจะเจอปั๊มอีกต้องวิ่งไปอีกหลายสิบกิโลเมตร ที่พักริมทางที่นี่ไม่ได้อยู่ติด ๆ กัน ขณะที่ขับไป ใจก็ภาวนาว่าอย่าให้ น้ำมันหมดก่อนถึงที่พักริมทางต่อไป เมื่อขับไปได้สักพัก เจอ Parking ก็เบรคดูให้ดีว่ามีปั๊มหรือไม่ ซึ่งไม่มี แต่เมื่อส่องกระจกมองหลังดู เห็นมีรถเบรคจ่อหลังเราอยู่ เขาคงจะด่าเราในใจแน่นอน ที่เบรคกะทันหัน ไม่มีสัญญาณเตือน
ในที่สุดก็ได้เจอที่พักริมทาง และได้เติมน้ำมันเต็มถัง 37 ลิตรกว่า แสดงว่ายังมีน้ำมันในถังอยู่อีก 2 ลิตรกว่าๆ ก่อนเติมน้ำมันที่จะวิ่งไปได้ ในที่สุดก็ได้ข้ามชายแดนอิตาลี ไปประเทศสโลวีเนีย ซึ่งสภาพไม่แตกต่างจากอิตาลี ผมไม่ทราบเลยว่า ผ่านแดนมาแล้ว แต่ลูกทราบ และแวะที่พักริมทาง เพื่อซื้อบัตรทางด่วน ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ สำหรับผมเหมือนกัน และเมื่อข้ามแดนมาออสเตรียก็เหมือนกัน คือ ไม่รู้ว่าข้ามแดนมาแล้ว แต่ลูกจอดที่พักริมทาง เพื่อซื้อบัตรทางด่วนอีกครั้งหนึ่ง สำหรับที่อิตาลี ไม่ได้ซื้อบัตรทางด่วน แต่มีด่านเก็บเงินที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ ด่านแรก สำหรับดึงบัตรที่บันทึกข้อมูลมาเก็บไว้ แล้วด่านสุดท้ายก็เอาบัตรที่รับมานี้ คืนไปในเครื่อง แล้วใส่เงิน หรือบัตรเดบิตเข้าไปในช่องเดิมเพื่อจ่ายเงิน
สำหรับอาหารมื้อเย็นที่แวะกินตอนค่ำนั้น เป็นร้านที่พักริมทางเหมือนเคย ที่ประเทศสโลวีเนีย เป็นแบบ self service คือหยิบถาดและจาน ตักอาหารที่วางไว้เป็นมุม ๆ สำหรับแซนวิชก้อนใหญ่ ๆ เขาจะเอาเข้าไมโครเวฟให้ ได้รับฟังว่าแซนวิชในยุโรบนี้ อร่อยกว่าที่เคยกินในอเมริกา สำหรับผม เลือกสลัด ได้แก่ ผัดผสม ๆ กันของถั่วลิสง เม็ดโตๆ ยำแตงกวา ผัดผสม ๆ ของมันฝรั่ง ข้าวผัดสไตน์ยุโรป และอื่น ๆ ซึ่งอร่อยมาก กินได้ดี แต่ราคาก็เป็นแบบยุโรป ไม่ใช่แบบไทย แต่ก็ไม่แพงมากนัก แซนวิช 1 ชิ้น สลัด ผสม ๆ กัน พูน ๆ จาน และน้ำผลไม้คั้น 3 แก้ว ตก 18 ยูโร ซึ่งนอกจากอาหารอร่อยแล้ว บรรยากาศกลางแจ้งในฤดูร้อน แต่อากาศเย็น ๆ กำลังสบาย น่าจะนั่งนาน ๆ ยิ่งสมัยก่อนมีเครื่องดื่ม แบบดัดนิสัย และเพื่อนให้เฮฮา ก็ยิ่งสนุกใหญ่ กินอาหารแล้ว ผมก็นั่งรถหลับไปเรื่อย ๆ จนถึงที่พัก โรงแรม Ibis ที่เมือง Graz
สรุปแล้ว ลองดูในแผนที่ google เราเดินทาง จาก Modena ไปเส้นทาง ผ่าน Padova Venezia Trieste สโลวีเนีย Maribor และ Graz ถึง Graz ประมาณ 5 ทุ่ม ใช้เวลา 9 ชั่วโมง
ถามลูกดูทราบว่าเขาก็ยังไม่เคยมา เพิ่งเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็คงเคยไปที่อื่นมาบ้าง ใช้โทรศัพท์มือถือ ไอโฟน 5 โปรแกรม GPS นำทาง ในนั้นมีเสียงพากย์ว่าให้ตรง หรือไปอีกเท่าใด แล้วเลี้ยวอย่างไร จนถึงที่พัก เข้าใจว่า GPS นี้ เป็นโปรแกรมที่ผลิตในยุโรป เพื่อช่วยคนเดินทาง สำหรับเรื่องที่น่าชมเชยอีกประการหนึ่ง คือเขาทราบว่าจะต้องจ่ายบัตรทางด่วนในแต่ละประเทศอย่างไร คงมีการศึกษาข้อมูลมาอย่างดี
ข้อดีคือการวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวแบบยุโรปนี้ ทำให้การเดินทางข้ามประเทศสะดวกมาก แทบไม่รู้เลยว่าข้ามมาอีกประเทศหนึ่งแล้ว (แต่ลูกรู้แฮะ) ตอนที่ผ่านชายแดนแรก เห็นซุ้มประตูโค้ง ๆ ทาสีแดง ติดกับสะพานคนเดินข้าม ก็ไม่ทราบว่าเป็นชายแดน แต่มานึกทีหลัง ดูแปลก ๆ หลังจากนั้น ขับมาสักพัก จอดที่พักริมทาง ซึ่งดูก็เหมือน ๆ กัน ไม่ทราบว่าข้ามประเทศมาแล้ว จนลูกบอก จึงได้ทราบว่าผ่านชายแดนมาแล้ว นอกจากนั้น การใช้เงินสกุลเดียวกัน และเวลาเดียวกัน ทำให้สะดวกไม่ต้องยุ่งยากคิดคำนวณ ไปที่ไหนก็เหมือน ๆ กัน เห็นเขาใช้บัตร ๆ เดียว สอดจ่ายค่าทางด่วน และจ่ายค่าอาหาร หรือจ่ายหมดทุกอย่าง ไปที่ไหนก็ใช้บัตรเพียงใบเดียว ถามได้ความว่า เขาหักบัญชีเอา สำหรับภาษาไม่ทราบว่าเป็นภาษาเดียวกันหรือไม่ แต่น่าจะติดต่อสื่อสารกันได้ แต่ที่ยุโรปทำได้ดี เลียนแบบยาก เพราะพื้นฐาน สภาพแวดล้อม ทางเศรษฐกิจสังคม ของประเทศสมาชิกเหมือน ๆ กัน และเผ่าพันธุ์คนก็คล้าย ๆ กันด้วย และอีกเรื่องหนึ่งที่น่าชมเชยคือการเข้าแถวมาซื้อบัตรทางด่วน หรือกินอาหารหลายคนก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นไปตามลำดับ
วันนี้คงเดินทางต่อ เห็นลูกว่าจะพักใกล้ ๆ เวียนนา แต่เป็นแดนของสโลวะเกีย เจอกันต่อครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 8 วันที่ 9 สิงหาคม 2558
เวลาเช้ามืด เกือบ ๆ ตี 5 อีกเช่นเคย ท้องฟ้ากำลังสาง แสงเงินแสงทองเริ่มสาดส่อง เมื่อวานได้เดินนาน จึงได้นอนเต็มที่
เมื่อวานตอนเช้า ได้ออกจากเมือง Graz ในเวลาประมาณ 11 โมงกว่า ๆ นั่งรถ ตามแผนที่ GPS เหมือนเคย ลูกขับ แต่ผมหลับตามนิสัย สงสัยว่าเวลานั่งรถ ถึงได้หลับทุกครั้ง และเมื่อขับรถก็ง่วงมาก ๆ แต่กลางคืนกลับไม่หลับ
นั่งรถมาสักพัก เห็น 2 ข้างทาง มีกังหันลม อยู่ 2 – 3 จุด ๆ ละ หลาย ๆ อัน หรือประมาณ 50 – 80 อันโดยสายตา ไม่ทราบเหมือนกันว่ากังหันลมนั้นไว้สำหรับสร้างพลังงานอะไร แต่ดูแล้วไม่ใช่การทดน้ำ เพราะไม่มีแหล่งน้ำอะไร
เดินทางสักพัก รถน้ำมันหมด ขึ้นตัวแดงอีกแล้ว แต่ก็ขับไปเรื่อย ๆ จนถึงที่พักคนเดินทาง เพื่อจะเติมน้ำมัน ที่นี่คนเยอะมาก และรอเติมน้ำมัน มีรถมอร์เตอร์ไซค์คันใหญ่ ๆ หรือ ช้อบเปอร์ เป็นสิบ ๆ คัน รอเติมน้ำมันด้วย ระบบที่นี่คือเติมน้ำมันเอง แล้วเข้าไปจ่ายเงินในร้านขายของกินและเครื่องดื่ม มีแคชเชียร์อยู่ 2 คน และบางครั้งเหลือคนเดียว และบางช่องได้ทราบว่าต้องคอย เพราะถูกบล็อก เติมน้ำมันไม่ได้ ตอนที่วิ่งเข้าไปจ่ายเงินนั้น รถยังจอดที่ปั๊มที่เดิม ไม่กล้าเลื่อนรถออกไป เพราะคันหน้าที่ไปแล้ว ก็ทำเช่นเดียวกัน ทำให้ช้ามาก แต่คันหลังก็คอย คงเป็นความเคยชินที่นี่
สำหรับเรื่องอาหารการกินนั้น ได้ขนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปจาก Modena และกินกันที่ห้องโรงแรมก่อนออกเดินทางจึงไม่มีปัญหาเรื่องอาหารมากนัก เพราะดู ๆ แล้ว ก็มีแต่ขนมปังยัดไส้เป็นหลัก ยังเสียดายที่ขนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาน้อยไป จะหมดอีกไม่กี่วันนี้
ตามเส้นทางที่ผ่านมา ตั้งแต่อิตาลี และมาเรื่อย ๆ นั้น ได้เห็นหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก และมีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทานตะวัน และองุ่น เมื่อผ่านเข้ามาทางทิศตะวันออก เห็นทานตะวันเยอะหน่อย แต่องุ่นก็มีมากเหมือนกัน สำหรับไม้ผลนั้น มีบ้างประปราย แต่ดูไม่ออก คงเป็นผลไม้แถวนี้ที่เราซื้อกินอยู่ทุกวัน มีข้อสังเกตที่บางแห่ง ตอนออกจากอิตาลี ผลไม้ทั้งแปลงใหญ่ ๆ เขาทำตาข่ายคลุมหมดทั่วทั้งแปลงเลย คิดว่าน่าจะเป็นวิธีป้องกันแมลงแบบไม่ต้องฉีดยา ซึ่งตาข่ายที่คลุมนี้ ผืนใหญ่มาก ๆ หรือเขาใช้ผืนเล็กยาว ๆ แล้วคลุมเป็นแถบ ๆ ก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่ได้คิดมากเพราะเกษียณมานานแล้ว ตามเทคโนโลยีคงไม่ทัน
ในที่สุด ก็มาถึงโรงแรม Park Inn อยู่มี่เมือง Bratislava ชื่อเต็มของโรงแรมคือ Park Inn Danube ประเทศ Slovak Republic หรือ Slovakia ตามที่ดูแผนที่ในกูเกิ้ล ถึงเวลาประมาณ บ่าย 3 โมง ที่โรงแรมนี้อยู่ข้างแม่น้ำดานูป ที่ลือชื่อในเพลง บลูดานูปมานาน ตามที่ผมเคยเล่าว่า เคยมาอยู่ที่เมือง Novi Sad ริมแม่น้ำดานูปเหมือนกัน แต่อยู่ที่ประเทศ Serbia สภาพของที่นี่เหมือนกับที่ผมเคยอยู่ และกลับไปอีกหลาย ๆ ครั้ง เช่นมีประสาทใหญ่ ๆ อยู่บนเนินยาว ๆ ริม ดานูป ตอนนั้นคนท้องถิ่นให้เรียกว่า ฟอสเทส ดูคล้ายกันมาก อีกจุดหนึ่งคือ ทางเดิน (และจักรยาน) ทอดยาวตามริมแม่น้ำ ยาวเหยียดตลอดเมือง ไม่มีอาคาร แต่ที่ต่างกับ Novi Sad สมัยนั้น คือมีท่าเรือ และมีเรือที่เป็นภัตตาคารใหญ่ ๆ จอดอยู่ โฆษณา Sea Food น่าสนใจมาก และเรืออีกลำที่ลำใหญ่ และยาวมาก มีเด็กวิ่งเล่นบนดาดฟ้าเรือ และภายในห้องทึบ ๆ ชั้นล่าง เห็นมีคนนั่งคุยกันอยู่ เลยสงสัยว่าเป็นเรือโรงแรม ที่จอดตามท่าเหมือน Oreintal Queen ที่ hit กันในบ้านเราหรือไม่ ข้อสังเกตอันหนึ่งในประเทศยุโรป และที่ผมพบในเมืองริโอ ที่บราซิล หรือในแถบออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จะไม่เคยเห็นอาคาร ร้านอาหาร หรือบ้านเรือนคน ติดกับชายน้ำในแม่น้ำ หรือทะเล จะมีก็แต่ทะเลสาบในหมู่บ้านที่คนขุดขึ้นมา ที่นี่ก็เหมือนกัน เป็นทางเดิน สวนสาธารณะประกอบทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตา คนเดินและนั่งเล่นกัน ดูมีความสุขสบายกัน หรือริมชายน้ำสาธารณะเป็นของคนทุกคน
โรงแรมที่พักนี้อยู่ที่สวน Park คล้ายกับที่ Novi Sad ที่ผมเคยพักอีกแล้ว ที่สวนมีตารางหมากรุกใหญ่ ๆ อยู่บนพื้น ให้ชาวเมืองที่สนใจออกมาพันตูกัน เมื่อเดินออกจากสวน ก็จะเป็นลานกว้างมาก ๆ เดินออกไปได้หลายแยก มีประสาท ตึกเก่า ๆ และอนุสาวรีย์รูปปั้น น่าเดินทั้งนั้น ออกเลยไปหน่อยก็จะพบโบสถ์ใหญ่ ๆ อยู่ 2 แห่ง ขณะที่เดิน เห็นขบวนคนเดิน แต่งสวย ๆ งาม ๆ พร้อมเจ้าบ่าว เจ้าสาว อยู่ 2 กลุ่ม ก็ดีใจกับเขาเหล่านั้น ที่ได้ตั้งต้นชีวิตคู่ จะมีความสุขหรือทุกข์ก็แล้วแต่ช่วงเวลา และดวงชาตาแต่ละคู่ ซึ่งปัจจัยที่สำคัญของชีวิตเราคือลูก ที่เราอยากให้เขาดี และสุขภาพของทุก ๆ คนในครอบครัว
เราเดินถ่ายรูปกันพอสมควร พอดีเห็นร้านแมคโดนัล ด้วยความเคยชินเก่า ๆ ก็รีบเข้าร้านทันที อิ่มไปอีกมื้อหนึ่ง
เมื่อเดินถึงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ที่เวทีตรงกลางลาน ที่มีซุ้มหลังคาบนเวทีมีการแสดงดนตรี และร้องเพลงพื้นเมือง โดยมีคนชมที่ล้วนแต่อาวุโส หรือแก่ ๆ นั่งรอและได้ชมสมใจ สำหรับคนที่เดินผ่านไปมาเป็นคู่ ๆ ก็นั่งพื้น บนสนามหญ้ารอบ ๆ ยืนพิงรั้ว หรือม้าหินที่วางเรียงรายใกล้ ๆ ตามอัธยาศัย นักดนตรีนำเป็นนักกีต้าร์ สาว ท้วม ๆ หน่อย และมีดนตรีอีก 3 – 4 ชิ้น คล้าย คีย์บอร์ด (แต่ไม่ใช่) เบสต้วใหญ่ และกีต้าร์เล่นคู่อีก ตัวหนึ่ง สำหรับนักร้องหญิง 1 คน ร้องเพลงเสียงใหญ่มาก คงเป็นเพลงที่ชาวพื้นเมืองใช้เต้นระบำกัน ผมได้ร่วมฟังเพลงกับเขานานพอ หวังจะได้ฟังเพลงบลูดานูป ที่สมัยก่อนตอนที่อยู่ Novi Sad ริมดานูปนั้นได้ฟังนักดนตรีที่ห้องอาหารทุกวัน แต่เมื่อวานนี้ไม่มีเพลงดังกล่าว
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมามาก คึกคักทีเดียว เห็นตั้งแต่ตอนที่เข้าโรงแรม ก็พบกลุ่มที่ยืนกันแน่น เดินผ่านลำบากมาก และเมื่อออกมาเดินเที่ยวที่ลานกว้าง ๆ แห่งนี้ ก็พบนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปมาเป็นกลุ่ม ๆ อีกหลาย ๆ กลุ่ม สมัยที่ผมอยู่ Novi sad นั้น มีนักท่องเที่ยวรัสเซียมาทุกวันส่วนใหญ่ อาวุโส มากันเงียบ ๆ เป็นระเบียบมาก แต่เมื่อไรที่นักท่องเที่ยวอเมริกามาละก้อ อึกกระทึกคึกโครม โดยเฉพาะเด็ก ๆ วัยรุ่นเจี๊ยวจ๊าวทีเดียว
ที่มีนักท่องเที่ยวมาก ๆ เดินกันอย่างสบาย ๆ แล้วมานั่งร้านกลางแจ้งริมทางเดิน กันมากมาย เพราะเป็นฤดูร้อนที่อากาศดี ถ้าผมอยู่ที่นี่ ก็ออกมาเพราะทำให้เราพบผู้คน และมีความสุข ที่ข้าง ๆ เวทีแสดงดนตรี มีร้านไอศกรีมอยู่ร้านหนึ่งที่แถวยาวเหยียด แน่ใจว่าคงอร่อย และขณะที่ผมยืนดูดนตรีอยู่คนเดียว มีไอ้บ้าที่ไหนไม่ทราบมาทักทาย ขอเอากำปั้นชนกัน ปกติ ผมอยากคุยกับคนพื้นเมืองอยู่แล้ว แต้รู้สึกว่าคน ๆ นี้ คงสติไม่ค่อยดี
เลยไม่ได้ทักทาย แค่ชนกำปั้นอย่างเดียว
ตั้งแต่มาประเทศครั้งนี้ ยังไม่เคยคุยกับคนพื้นเมืองนอกจากซื้อของ แต่น้ำใจของคนที่นี่ ตอนเติมน้ำมันรถ และยืนคอยกันเยอะ ๆ มีผู้หญิงหวังดี มาบอกว่าปั๊มน้ำมันถูกบล็อก ก็รู้สึกขอบคุณที่เขามีน้ำใจ แต่เมื่อเข้าไปถามในร้าน ก็ทราบว่าปั๊มที่เราจอดรถอยู่ไม่ได้บล็อก เติมได้ตามปกติ แต่ช้าหน่อย
เขียนมาแค่นี้ก่อนนะครับ หวังว่าคงอ่านจบ ฉบับนี้ยาวหน่อย
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 9 วันที่ 10 สิงหาคม 2559
ชีวิตผมอยู่กับสายน้ำตั้งแต่เกิด เริ่มจากเกิดที่คลองแสนแสบ (อโศก) เรียนแถวคลองสาธร (บีซีซี) แล้วไปทำงานที่บางปะกง (แปดริ้ว) ทั้งที่ทำงานและบ้านอยู่ติดกับแม่น้ำเลย นอกจากนั้น ไปอยู่อเมริกา เคยอยู่กับครอบครัวข้างแม่น้ำมิซซิสซิบปี้ (ไอโอวา) และแม่น้ำ Salmon (ไอดาโฮ) ที่เคยมีคนบอกว่าแม่น้ำนี้เป็นภาพยนตร์ ชื่อ The river of no return พอไปเรียนที่อังกฤษ ก็ไปอยู่แถวแม่น้ำเทมส์ (Reading ) และเมื่อไปอยู่เมือง Novi Sad ก็ได้อยู่ข้างแม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นที่ประทับใจ เพราะเคยได้ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ ตามสายน้ำดานูบ เช่น Budapest และ Wein หรือเวียนนาที่กำลังจะเล่านี้
เมื่อวานนี้ ออกจากโรงแรม ประมาณ 9 โมงกว่า ๆ พากันไปเวียนนาโดยตรง ไปถึงประมาณ 10 โมงเศษ ๆ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว ก็เหมือนทุกครั้ง ตอนที่ข้ามชายแดนเมื่อไรไม่ทราบเลย ได้แต่เห็นระหว่างทางที่เป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา เต็มไปด้วยกังหันลมหลายอันดูลานตา ไม่ได้ถามใครว่ากังหันลมไว้ใช้ทำอะไร เพราะตั้งแต่มาต่างประเทศครั้งนี้ ยังไม่เคยคุยกับ ชาวพื้นเมือง
เมื่อถึงเวียนนา โดย GPS และแผนที่นำทาง ได้ไปเดินที่พระราชวังโชลบรุนส์ ( Schonbrunn) ได้เดินอยู่รอบ ๆประสาท ไม่ได้ซื้อบัตรเข้าไปเพราะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก และเคยเข้าไปแล้ว ยังจำภาพข้างในได้ พูดถึงประสาทราชวังในยุโรป เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว จะเห็นสิ่งที่คล้ายกัน คือข้างฝา และเพดานจะมี painting ที่สวยงาม เกี่ยวกับสวรรค์เทวดานางฟ้า หรือเรื่องราวในศาสนาคริสต์ตามจินตนาการของบรรพบุรุษฝรั่ง สำหรับครั้งนี้ ได้เดินรอบ ๆ และเข้าไปในสวนที่ประดับต้นไม้สวยงาม ได้เห็นกุหลาบที่ปลูกเป็นต้นผอม ๆ สูง ๆ รวมกันเป็นรั้วกำแพง ออกดอกสีแดงสะพรั่ง ต้นไม้อื่น ๆ ทั้งยืนต้น และเป็นกอยาว ๆ รอบ ๆ สวนได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม เดินไม่นาน ด้วยความหิวข้าว ก็เดินกลับขึ้นรถเข้าเมือง
ตอนที่เข้าที่จอดรถที่มีไม้กั้นห้ามรถเข้านั้น ต้องดึงบัตรออกมาจากเครื่องออกบัตรที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อดึงบัตรออกมาไม้กั้นก็เปิดออกเข้าไปได้ แต่เมื่อขาออก ต้องเอาบัตรไปจ่ายเงินที่ machine เป็นตู้สูง ๆ ยาว ๆ ตั้งอยู่ที่จุดหนึ่งในสถานที่จอด ยัดบัตรเข้าตู้ ตู้บอกจำนวนเงิน ใส่เงินเข้าไป ได้รับบัตรคืนก็นำไปใช้เสียบที่ไม้กั้นตอนออก ลูกผมรู้ดี คงเคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่เมื่อขับรถออกจากที่จอด คันหน้ารถเราทั้ง 2 คันไม่ทราบ ต้องจอดรถคาไว้ แล้ววิ่งไปตอกบัตรที่ machine คันหลัง ๆ คงต้องรอนานพอสมควร แต่พอดีมีอีกชช่องทางข้าง ๆ จึงหลบไปได้
ขับรถไปถึงใจกลางเมือง ตรงแถวสถานีรถไฟ ซึ่งที่เยอรมันและที่นี่เรียกว่า ban hop ที่ไปนี้คือ West Ban Hop ตามตัวหนังสือใหญ่ ๆ ตอนนี้ต้องหาที่จอดรถให้ดี ๆ ควรระวังหน่อย เพราะต่างถิ่น เลยไปจอดในซอยแคบ ๆ ไกลพอสมควร เมื่อเดินมาถึงสถานีรถไฟ เห็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ เข้าไปใช้บริการ ผมสั่ง ยากิโซบะผัดกุ้ง ได้มากล่องใหญ่ อิ่มไปถึงเย็น ต่อจากนั้น ได้ไปเดินที่ถนนคนเดิน และเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวไปตามจุดต่าง ๆ ของเมือง
ที่เดินอย่างสบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็นั่งพัก เพราะลูกเพิ่งจะบอกว่าคืนนี้ จอง concert หรือ opera เล็ก ๆ ไว้ 2 ทุ่ม 15 เราจึงรอ เดินไปเรื่อย ๆ ที่มีแขกอีกครอบครัวหนึ่งเดินคู่คี่กับเราไป แวะนั่งพัก ก็คล้าย ๆ กัน จนตะวันบ่ายคล้อย ลูกจึงชวนไปนั่ง Mc cafe ดื่มกาแฟเย็น ซึ่งมีลูกค้าแน่นมาก นั่งสักพัก มีครอบครัวคนจีน มากันหลายคน จึงกลับออกไปเดินต่อ สละที่ให้เขานั่ง ถ้าเราเป็นเขา เราก็อยากให้คนที่นั่งอยู่ทำแบบนี้เหมือนกัน ที่นั่งได้นาน เพราะที่แม๊กทุกแห่งที่นี่มี wi fi ฟรีให้ใช้ได้ เมื่อเดินไปสักพักใหญ่ ๆ เกิดคอแห้ง ก็เข้าแม๊ก ดื่มโค๊ก และตอนเย็นที่สถานีรถไฟ ลูกไปกินอาหารเวียดนาม ผมและติ๊ด ภรรยาก็เข้าแม๊กอีกเช่นเคย ไปที่ไหนมีแม๊ก (Mc Donald) เราก็สบายใจเพราะนั่นคือแหล่งอาหารประทังชีวิตเรา ที่ไม่ต้องการคุณค่า ขอให้ประทังชีวิตเราก่อน ขากลับจากที่เดินเล่นนี้ สำหรับผมลืมทิศทาง เพราะไม่ได้ไปทางเดิมอาศัยแผนที่จากโทรศัพท์มือถือของลูกก็กลับมาที่เดิม คือสถานีรถไฟ เป็น land mark ของเราได้ เหมือนกัน
เมื่อถึงเวลาประมาณ 6 โมงเศษ ๆ เราก็กลับไปที่รถจอด พากันนั่งรถไปใกล้ ๆ สถานที่ ๆ opera แสดง แถวนั้นเป็นตึกเก่า ๆ และประสาทสวย ๆ ใหญ่ ๆ หนาแน่นเป็นจุดท่องเที่ยวที่มีคนไปเดินเที่ยวกันมาก ได้เข้าที่จอดรถใต้ดิน ใกล้ ๆ แล้วเดินต่อ คิดถึงท่านนายก สมัคร สุนทรเวช ที่เคยดำริจะทำที่จอดรถใต้ดินแถวสนามหลวง ตอนนั้นคิดค้าน ๆ เพราะไม่มีประสบการณ์ ก็คิดถึงความคิดของท่านในการจอดรถ ก็เป็นระบบเดียวกับที่จอดรถทั่ว ๆ ไป มี machine ที่จ่ายเงินของที่นี่อยู่ตรงทางออกเมื่อขึ้นลิฟท์ขึ้นมาที่ถนน แต่ครั้งนี้ จะมีปัญหาตอนขากลับ ดึก ๆ เอาบัตรจอดส่องไปที่มิเตอร์เพื่อเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก สักพักมีคนเดินมาคู่หนึ่ง เขาเอาบัตรแนบไปกับมิเตอร์เลย ประตูออกมา จึงเข้าไปได้ ทุกอย่างที่นี่ขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ ผมว่ามาจากเมืองไทยสด ๆ ร้อน ๆ ไม่เคยเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ คงเช่ารถขับไปไหนไม่ได้ คิดถึงสมัยที่เรียนอังกฤษ ตอนนั้นเช่ารถขับร่อนไปทั่ว แม้แต่กรุงลอนดอนก็คุ้นเคยมาก ๆ ยังไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย
สถานที่ดู concert นั้น เป็นอาคารเก่า ๆ แบบประสาท เข้าไปมีหลายห้อง และบันไดสูง ๆ แบบในภาพยนตร์สมัยเก่า ที่ห้องมีเก้าอี้เรียงกัน สำหรับคนประมาณ 200 – 300 คน ซึ่งเต็มหมดทุกที่นั่ง ซึ่ง concert ในครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก ๆ เพลงที่เล่นในช่วงแรก ของ W. A. Mozart เป็นส่วนใหญ่ บางเพลง มีนักร้องมาขับกล่อม นักร้องชายและหญิง เสียงใหญ่และแหลม เป็นจังหวะเข้ากับดนตรีแบบ opera บางเพลงมีการเต้น Ballet ประกอบเป็นที่สวยงามมาก หลังจากพักครึ่งเวลา จะเล่นเพลงของ J. Strauss ส่วนใหญ่ บางเพลงมีนักร้องประกอบ และเพลงสุดท้ายในรายการคือเพลง An der schonen blauen Donau ซึ่งมีการเต้น Ballet ประกอบ เพลงนี้ คุ้นมาก ๆ เหมือนกับเคยฟังมาทุกวันสมัยก่อน ไม่ทราบว่าใช่เพลง บลูดานูบ หรือไม่ หลังจากที่เล่นเพลงทุกเพลง ผู้ชมจะตบมือให้ บางเพลงนานมาก และบางเพลงยืนตบมือด้วย ทำให้นักดนตรีและนักแสดงกลับขึ้นเวทีมารับการตบมืออีกครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าหลังจากเพลงสุดท้ายแล้ว ด้วยความชื่นชมจากผู้ชม เขาก็เล่นเพิ่มให้อีก 2 เพลง
ต้องขอบคุณน้องบิม ลูกของผมมาก ๆ ที่ช่างคิดจอง concert ให้พ่อกับแม่มาดู คุ้มกับที่มาเวียนนาเมืองแห่งเสียงเพลง ริมแม่น้ำดานูบ ที่มีมนต์ขลัง ทำให้ผมสามารถกลับมาเยี่ยมเยียนได้อีกครั้งหนึ่ง และเสียงเพลง บลูดานูบ ที่อยากฟังตั้งแต่คืนวันที่เดินที่ Bratislava ที่เล่าให้ฟัง ก็ได้ฟัง ไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ แต่ทำนองคล้ายมาก ถามว่าอยากกลับมาอีกหรือไม่ ต้องตอบว่า yes แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้อีกหรือไม่ เพราะความหนุ่มลดลงไปทุก ๆ วัน ลาก่อน Briatislva ที่น่าอยู่ และ Danube ที่ประทับใจ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 10 วันที่ 11 สิงหาคม 2558 ที่เมือง Ostrava, สาธารณรัฐ Czech (Czech Republic)
ตอนเช้าเมื่อวานนี้ ออกเร็วกว่าทุกครั้ง เพื่อจะไปที่โปแลนด์ เมือง Auschwitz ซึ่งการเดินทางในยุโรปนี้ เดินทางโดย GPS ผมไม่ค่อยรู้ เนื่องจากอ่านป้ายไม่ออก อยากให้ในโลกนี้มีภาษาเดียว ไปไหนก็ติดต่อสื่อสารกันได้ การเดินทางมาเมือง Auschwitz มีวิวทิวทัศน์สวยมาก 2 ข้างทางเป็นพืชไร่ และปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ มี hay มัดเป็นก้อนกลม ๆ รอขนเข้ายุ้ง สำหรับวัวนม หรือเลี้ยงวัวในฤดูหนาว สำหรับพืชไร่ที่เห็นมากๆคือข้าวโพดและทานตะวัน ยิ่งออกมาทางยุโรบตะวันออก จะเห็นทานตะวันเยอะหน่อย อาจจะเป็นพืชที่ปลูกกันตามความเคยชิน หรือทานตะวัน ค่อนข้างทนแล้ง เห็นบอกว่าถ้าแล้งมาก ๆ รากทานตะวัน สามารถยืดยาวลึกไปในดินได้ถึง 3 เมตร เพื่อหาความชุ่มชื้นในดิน ที่เมือง Novi Sad เรียกทานตะวันว่า ซุนซูเครด แปลว่าสู้แสงตะวันเช่นเดียวกัน สำหรับวิวทิวทัศน์ที่ผ่านไปนี้ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นเนิน จึงเห็นเนินเขาที่ปลูกทุ่งหญ้า มีบ้านหรือหมู่บ้านอยู่บนเนินสูงต่ำ เหมือนกับเมืองในฝัน แนวถนนก็เช่นเดียวกัน ราบเรียบ ทอดยาวเหยียด ลงเนินไป สุดลูกหูลูกตาสวยงามมาก ได้แวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง พบหนุ่มโปแลนด์ที่ขายของในร้านของชำซึ่งมีมุมขายอาหารเล็ก ๆ มีอัธยาศัยดี ให้เข้าห้องน้ำฟรี เลยอุดหนุน กินอาหารเที่ยงที่นั่น ก็แค่ แซนวิชกับโค๊กที่เขาแนะนำว่าไม่ควรดื่มนั่นเอง
เมื่อถึง Auschwitz แล้ว ได้มุ่งตรงไปที่พิพิธภัณฑ์ค่ายกักกัน ชาวยิว ชาวโปแลนด์ ที่ทรยศ และเชลยศึกรัสเซีย Auschwitz I ซึ่งมี Auschwitz II ซึ่งเราไม่ได้ไป ที่พิพิธภัณฑ์นี้ เก็บค่าจอดรถด้วย ทั้ง ๆ ที่ซื้อบัตรเข้าชมแล้ว แต่ก็มีคนแน่นมาก ส่วนใหญ่เป็น group ทัวร์กลุ่มใหญ่ ๆ เมื่อเข้าไปแล้ว ได้ไปยืนต่อแถวกับกลุ่ม หลาย ๆ กลุ่ม ซึ่งผ่านไปช้า ๆ แต่มีผู้คุ้นเคยเป็นสาวอายุเกือบ ๆ กลางคนน่าจะเป็นไกด์อยู่คนหนึ่ง สังเกตเห็นเราว่ามากันเอง เลยพาไปพบเจ้าหน้าที่อีกด้านหนึ่งให้เข้าได้เลย นี่คือน้ำใจไมตรีของชาวโปแลนด์ ครั้งที่ 2 ที่เราได้รับ เข้าไปข้างในค่ายเป็นรั้วลวดหนาม 2 ชั้น ใครหนีจับได้ตายอย่างเดียว ข้างในเป็นตึกอิฐแดงเรียงกัน ชั้นเดียวแถวหนึ่ง และ 2 ชั้นอีก 2 แถว รวมกันแล้วร่วม 30 กว่าตึก ภายในตึกใช้งานต่าง ๆ กัน เช่นเป็นสถานที่กักกัน เป็นห้องพยาบาล ที่ไม่ได้พยาบาล แต่ฉีดยานักโทษตายทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ คน ตอนแรก ประมาณปี 1940 มีแต่นักโทษชาย ต่อมาอีก 3 ปี ได้นำผู้หญิงและเด็กเข้ามาด้วย นักโทษที่ตายในที่นี่นี้มีหลายประการ คือถูกใช้ทำงานหนักจนตาย มีพวกที่ทรมานให้อดอาหารจนตาย แบบนี้รวมถึงเด็ก ๆ ที่น่าสงสารด้วย นอกจากนั้น ก็มีการแขวนคอ ที่แดนประหาร ซึ่งได้ไปเห็นที่แขวนคออยู่ทางด้านหนึ่ง และถูกยิงเป้า ซึ่งทำเป็นกำแพงอีกจุดหนึ่ง และถูกเข้าห้องรมแก๊ส จนตาย นิทรรศการในแต่ละตึก แสดงถึงรูปเชลยรัสเซีย รูปชาวยิว ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก ๆ วัยต่าง ๆ จำนวนมากมายมหาศาล มาจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีโปแลนด์มากที่สุด รูปที่ถ่ายตอนถูกอพยพเข้ามาใหม่ ๆ ยังไม่รู้ชะตากรรมยังดูใส่เสื้อผ้า แข็งแรง และรูปที่ถูกทรมาน ดูรูปทั้งสองระยะเวลาแล้ว น่าสงสารมาก ๆ ทั้งผู้ใหญ่เด็กมีแขนขาลีบจะตายแล้วก็มี นิทรรศการในตึก นอกจากห้องขังแล้ว ยังแสดงถึงห้องนอน ห้องส้วม ห้องล้างหน้า และข้าวของเครื่องใช้ที่เชลยมีอยู่ แออัดยัดเยียด ฮิตเลอร์พูดว่าศึกสงครามครั้งนี้ไม่ใช่การขยายอาณาจักรเท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงพันธุ์ของชาวเยอรมัน ไม่ให้มีเลือดยิวผสมอยู่ แต่ผิดถูกยังไง จำไม่ได้แน่ชัด
ต่อจากนั้นได้ไปดูอาคารรมแก๊ส ซึ่งเขาเขียนว่าอาคารนี้ใช้ในปี 1940 – 1943 เท่านั้น หลังจากนั้น ไปสร้างอาคารรมแก๊สขึ้น ที่ค่ายกักกัน Auschwitz II อีก 2 โรง เป็นอาคารที่คลุมด้วยเนินดินเหมือนหลุมหลบภัย เข้าไปมืดทึบ สถานที่นี้เองที่สังหารชาวยิว เป็นหมื่นเป็นแสนคน ทุกเพศและวัยเห็นแล้วอนาถใจมาก ตลอดเวลาที่เดินชม ได้คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราโชคดีมาก ๆ ที่ไม่ได้เกิดเป็นชาวยิว หรือชาวยุโรปที่ต้องมาเป็นนักโทษในครั้งนั้น และดูทหารหาญชาวเยอรมันในภาพ เห็นสีหน้าที่ไม่ได้สงสารเชลยแต่อย่างใด เมื่อฮิตเลอร์ กล่าวสุนทรพจน์ผู้คนก็พากันชูช่อดอกไม้ ดีใจและยกมือเหยียดไปข้างหน้า ร้องสดุดีฮิตเลอร์ คงไม่รู้เรื่องโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต่อไป เวลานั้น สรุปแล้ว ในปี 1940 – 1945 มีนักโทษทั้งหมด 1.3 ล้านคน เป็นชาวยิว 1.1 ล้านคน 1.4- 1.5 แสนคนเป็นชาวโปแลนด์ 2.3 หมื่นคนเป็นยิบซีจากโรม อีก 1.5 หมื่นคนเป็นเชลยศึกทหารรัสเซียและ 2.5 หมื่นคนจากที่อื่น ในจำนวนนี้ 1.1 ล้านคนตาย ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวยิว ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่หรือไม่ที่เรียกว่า ghetto แต่ที่ดูเมื่อวานไม่มีคำนี้ แต่เขาเขียนว่าที่นี่เป็นค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อดูพิพิธภัณฑ์ถึงเย็นพอสมควร ก็ได้เดินทางชมวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทางที่สวยงาม ต่อไปยังเมือง Ostrava สาธารณรัฐเช็ค ในระหว่างทาง เมื่อผ่านชายแดน (ที่ผมไม่รู้ว่าผ่าน) ได้แวะซื้อ sticker ภาษีผ่านทางติดหน้ากระจกรถยนต์ และเติมน้ำมันในระบบเดิม คือจอดตรงปั๊มที่เติม เสร็จแล้ว เข้าไปจ่ายเงินข้างใน พอจ่ายเสร็จ ตัวเลขที่ปรากฏที่ปั๊มก็ลบเหลือศูนย์ทันที ในยุโรปมีกรรมวิธีที่เหมือนกัน อัตโนมัติมาก จะไปไหนถ้าเป็นคนยุโรป ก็ไปได้หมด เมื่อถึงที่พักแล้ว ไปกินอาหารเย็นที่ร้าน Mc Donald ที่ shopping mall ตามสูตร ความจริงมีร้านอาหารจีนที่ food court แต่เห็นมีเนื้อสัตว์ที่ผมไม่กิน ไปถามเขาว่ามีผักอย่างเดียวไหม ซิ้มบอกห้วน ๆ ว่าไม่มี ถ้างั้นก็แม็กดีกว่าวะ เดี๋ยวกลับไปที่พัก ที่เมือง Modena แล้วค่อย cook เองก็ได้ ดีใจไหมครับ ที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องๆ ผู้โชคดี ไม่ได้เกิดเป็นเชลยศึก และเหยื่อค่ายกักกันที่โหดร้าย ต้องขอบคุณน้องบิม ที่ thoughtful พามาดู โดยไม่ได้ทราบมาก่อนว่าจะได้ความรู้ที่รื้อฟื้นมา
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 11 วันที่ 12 สิงหาคม 2558 ซึ่งเป็นวันแม่ ขอให้คุณแม่ และเพศแม่ทุก ๆ คนได้รำลึกในวันสำคัญนี้ว่า แม่ทำให้โลกดำเนินต่อไปด้วยความคึกคัก มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา และโลกนี้เป็นของพวกเขาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของแม่และเพศแม่ทุก ๆ คนมีส่วนสนับสนุน
เมื่อวานนี้ได้ออกเดินทาง เพื่อไปเที่ยวที่เมืองปราก (Prague หรือเห็นเขาเขียนว่า Praha ไม่ทราบว่าใช่ปรากหรือไม่) เป็นเมืองของสาธารณรัฐ Czech การเดินทางข้ามประเทศนี้ไกลมาก จากแผนที่จากเมือง Ostrava ติดกับสโลวาเกีย มาถึงกึ่งกลางประเทศ ค่อนข้างจะติดกับเยอรมัน หรือมาจากขวาไปซ้ายนั่นเอง เส้นทางค่อนข้างราบเรียบ เมื่อมองออกไปนอกรถ 2 ข้างทาง ก็เห็นเป็นเนินหรือแอ่งลาดลงไป ยังคงความสวยงามของภูมิประเทศ ทิวทัศน์ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าที่เก็บเกี่ยวแล้ว เป็นลานสีน้ำตาลกว้าง ๆ บางแปลงก็ยังมี bale ของหญ้าแห้งมัดเป็นก้อนกลม ๆ ใหญ่ ๆ วางกระจายอยู่บนแปลงพร้อมขนเข้ายุ้ง มีแปลงพืชเตี้ย ๆ ใบกว้างอยู่แปลงหนึ่งใหญ่มาก วิ่งนานกว่าจะหมดไม่ทราบว่าเป็นพืชอะไร เพราะรถวิ่งเร็วด้วย สรุปแล้ว วิวสองข้างทางก็ยังสวยอยู่ ทั้งนี้จะเห็นบ้านหรือกลุ่มบ้าน สไตล์ยุโรปบนแปลงบนเนิน หรือไกลออกไป ทำให้ดูประกอบวิวให้สวยขึ้น ผิดกับทางเอเชียที่ปลูกบ้านเรียงรายตามริมถนนหนาแน่น ทำให้เห็นแต่บ้านเป็นแถวมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พักสายตาด้วยลานกว้าง ๆ เวิ้งว้าง ได้ออกจากที่พักประมาณ 10 โมงกว่า ๆ มาแวะเข้าห้องน้ำที่พักคนเดินทางแห่งหนึ่ง เมื่อประมาณบ่าย 2 เศษ ๆ ที่พักคนเดินทาง เป็นร้านอาหารแบบบุฟเฟท์ดูน่ากินและมีร้านขายของต่าง ๆ อีก 1 ร้าน มีป้ายประกาศให้แลกเหรียญข้างล่างที่หน้าห้องน้ำ เหรียญละ เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ดูมีเลข 5 อยู่ ไม่รู้ว่า หน่วยเป็นอะไร แล้วเอาเหรียญมาใช้ที่ร้านข้างบนได้ เราคนแปลกถิ่น ก็เลยแลก 3 เหรียญ แต่แลกมาแล้ว ไม่ทราบจะซื้ออะไร เลยแค่เก็บไว้ ดู ๆ คนแถวนั้น ไม่เห็นเขาแลกเหรียญกัน
ถนนที่ผ่านในวันนี้ค่อนข้างดี แต่ถ้าชิดขวาเลนในบางตอน จะกระเทือนเล็กน้อย คล้ายกับรับรถบรรทุกหนัก และมีกั้นจาก 2 เลนให้เหลือเลนเดียวบางตอน มีช่วงประมาณ 100 กิโลเมตร ที่จะถึงกรุงปราก มีรถติด ยาวเหยียด 2 แถว ติดค่อย ๆ เคลื่อนได้ นานเกือบชั่วโมง เป็นเพราะต้นทางมีถนนข้างขวาไม่ค่อยดี เลยมีป้ายชี้ บีบทางให้เหลือเลนเดียว ตามเลนที่มีอยู่ 2 เลน ที่รถติดนี้ จะมีรถบรรทุกอยู่ทางขวาเลนใน และรถยนต์เก๋งทางเลนนอก นาน ๆ จะมีรถแซงออกนอกเลนริมถนนขวาสุดมา 1 หรือ 2 – 3 คัน ซึ่งถ้ามีโอกาส อยากจะเชิญกลุ่มที่ออกนอกเลนมาขับที่เมืองไทย เขาจะได้รู้ว่าที่เขาทำก็เป็นที่นิยมอยู่เหมือนกัน ตอนที่นั่งว่าง ๆ ในรถ ได้สังเกตรถบรรทุกคันหนึ่ง เป็น container ใหญ่ ปิดมิดชิดมาก มีช่อง สี่เหลี่ยมระบายอากาศเล็กน้อย เขียนโฆษณาที่ตู้ว่ารับขนสัตว์ เห็นว่าของเขามิดชิดดี นึกถึงสัตว์ที่ถูกขนข้างในว่าพวกมันจะรู้หรือไม่ว่ากำลังไปสู่อวสานแล้ว เหมือนชาวยิว ในค่ายกักกันที่ดูมาเมื่อวานซืนนี้ เฮ้อ ดวงใครดวงมันก็แล้วกัน เวลาออกท้องที่ในชนบทบ้านเรา เห็นวัวควายเล็มหญ้า หรือพักผ่อนอย่างมีความสุข เคยคิดในใจว่า เขาคงไม่รู้หรอกว่าอีกไม่นานก็จะถูกส่งไปที่ไหน
ในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่กรุงปราก ซึ่งเคยได้ยินแต่ชื่อ กรุงปราก มานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่เรียนประวัติศาสตร์ โดยครูได้เล่าเรื่องสงครามโลก ซึ่งตอนนั้น ไม่เคยนึกว่าจะได้มาสัมผัส ด้วยตัวจริง มีความรู้สึกว่ากรุงปราก เป็นเมืองสังคมนิยม หรือเรียกว่าคอมมูนิสต์ ผู้คนคงน่าสงสารถูกบีบคั้น แต่ที่มาเห็น กลายเป็นเมืองเก่า ๆ ตึกเก่า ๆใหญ่โตมโหฬาร มีรูปปั้นแกะสลัก ทั้งศาสนา และบุคคลสำคัญ ๆ อยู่ทั่วไป มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ชื่อแม่น้ำ คือ Vltava (อ่านเองนะครับ) เป็นที่พักผ่อนของชาวเมือง ดูแล้วเหมือนกับเมืองเก่าเมืองใหม่ที่มีแม่น้ำกั้น และสะพานเชื่อมหลายแห่ง มีจุดหนึ่งของแม่น้ำที่มีหงส์อยู่ฝูงหนึ่ง ว่ายน้ำ ร้องเรียกหาอาหารให้คนไปเยี่ยมพวกมัน ตอนกลางวันดูเงียบ ๆ ไม่ทราบว่าศูนย์กลางเมืองอยู่ตรงไหน แต่พอเย็น ๆ ค่ำ ๆ คนออกมาเดินที่ริมแม่น้ำ และถนนคนเดินกันมาก สังเกตดูมีนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ๆ และสาว ๆ ญี่ปุ่น ที่มาถ่ายรูปกันบนสะพาน ที่เขียนว่าคนมากนั้น ไม่แน่นเหมือนที่เมืองไทย เพียงแค่เดินกันสบาย ๆ มีคนเยอะหน่อยเท่านั้น บรรยากาศดีมาก มีร้านอาหารอยู่เป็นเรือในน้ำอยู่ 2 – 3 แห่ง และมีสถานที่ให้เช่าเรือพายเล่นอีก 2 แห่ง มีคนพายเรือกันหลายลำดูสวยงาม บน สะพานแห่งหนึ่ง มีคนเดินกันเยอะ เพราะเป็นทางให้คนเดินเล่น ผ่านสะพานยาว ๆ นี้ ทางเดินบนสะพาน มีร้านแผงลอยขายเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เห็นมีคนแวะดู น่าสงสารว่าจะขายได้หรือไม่ มีดนตรีเล่นกัน 4 – 5 คน รวมไวโอลิน คนยืนดูพอสมควร มีคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งเดินผ่านมาพอดี และได้ไปเต้นรำตามเพลงหน้าดนตรีกลุ่มนี้ สนุกดี จากสะพานนี้ เดินกลับไปทางเมืองที่ฝั่งที่เราพักอยู่ มีถนนคนเดินยาวเชื่อมต่อจากสะพานที่คนไปเดิน window shopping กัน มีร้านดัง ๆ ที่มีในบ้านเราหลายร้าน และมีศูนย์การค้าหรู ๆ มีร้านอาหารอยู่แถว ๆ นี้ กลุ่มของร้านอาหารกระจายกันทั่วไป หรือมีอยู่เป็นกลุ่ม 2 – 3 ร้าน แต่ก็มีร้านอาหาร หรือบาร์กระจายอยู่ทุกท้องถนน ทุกร้านจะตั้งโต๊ะข้างนอกหน้าร้าน เพราะฤดูร้อนเป็นฤดูแห่งความสุขของคนเมืองหนาว ซึ่งความจริงไม่ได้ร้อนมาก ขนาดหน้าหนาวบ้านเรา ที่ผู้คนต้องฟันฝ่าความหนาวเย็นที่ทรมานมานานในรอบปี ผู้คนจึงออกมานั่งกลางแจ้งกินอาหาร และคุยกัน สังเกตดูหลาย ๆ กลุ่ม และหลายคู่ดูคุยกันไม่หยุด อยากรู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน เย็นเมื่อวานนี้ ได้ไปกินอาหารไทยที่ร้านแถวนั้น โดยการนำของลูก แต่ที่ร้านไม่เห็นคนไทยอยู่เลย เป็นธรรมดาที่เป็นคนพื้นเมืองทั้งร้านรวมทั้งลูกค้าที่มาอุดหนุนด้วย เหมือนกับร้านอาหารฝรั่งที่เมืองไทยก็ไม่มีฝรั่งเลย ที่รู้ว่าเป็นร้านอาหารไทยตรงที่มีตุ๊กตาหญิงชุดไทยไม้แกะสลักยืนไหว้อยู่หน้าร้าน และภาพต่าง ๆ ที่มีความหมายเกี่ยวกับไทย เช่น ภาพวาดทุ่งนาไทย ได้สั่งอาหาร 3 อย่าง คือ แกงข่าไก่ กุ้งผัดเห็ด และยำไก่ ดูแล้วก็พอจะกินกับข้าวหอมมะลิได้ แต่ไม่เหมือนฝีมือคนไทยแน่นอน กุ้งผัดเห็ดจะออกมาหวานนิด ๆ แต่เมื่อสั่งไอศกรีมเป็นของหวานแล้วเนื้อไอติมละเอียด ไม่หวานมาก รสชาติดี เมื่อเดินกลับ ได้แวะที่ Lotus Express เพื่อซื้อผลไม้มากิน ดูแล้วสภาพที่นี่ มีระบบที่เราคุ้นเคยอยู่บ้าง โดยเฉพาะ มีร้าน Thai Massage อยู่ที่ถนนคนเดิน แต่มอง ๆ เข้าไป ก็เห็นสาวไทยที่หน้าคล้ายฝรั่ง หรือจะเป็นลูกครึ่ง ก็อาจเป็นได้
ขณะนี้ พักอยู่ที่โรงแรม Park Inn ซึ่งตั้งแต่พักวันแรกมาแล้ว เป็นโรงแรม Park Inn ในเมืองต่าง ๆ มาตลอด เมื่อคืนจึงได้หลับนาน เพราะเดินดูเมืองและผู้คนจนเมื่อย ถ้าจะให้สรุป คิดว่าที่ Czech Republic นี้ เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปทั่วไป มีความแตกต่างเพียงน้อยนิดที่ตึกเป็นประสาทเก่า ๆ อายุเป็นร้อย ๆ ปี เป็นส่วนใหญ่อาจจะมากกว่าที่อื่น แต่ผู้คนดูมีไม่มาก โดยเฉพาะที่ประเทศแถบนี้ คนเบาบางอยู่กันอย่างสบาย ๆ รู้สึกว่าเขามีความสุขเป็นปกติดี ค่าครองชีพและระบบไม่แตกต่างกัน ทำให้คนท้องถิ่น ไปประเทศไหนก็ได้ เจอกันใหม่ครับ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 12 วันที่ 13 สิงหาคม 2558 เป็นวันที่เดินทางจากปราก มาแวะพักที่ Salzburg ออสเตรีย
ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่ติดกับชายแดนสวิส และลิทเทนสไตน์ เรากำลังเดินทางกลับ วันที่ 13 ก็จะถึงอิตาลี เป็นการสิ้นสุดการเดินทาง
กล่าวถึงวิว 2 ข้างทางที่รถผ่าน ก็เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา คือเป็นทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวแล้ว แต่บางแห่งก็มี bale หญ้าแห้ง รูปทรงกระบอกเป็นก้อน ๆ วางกระจายอยู่พร้อมเก็บเข้ายุ้ง ทุ่งที่ผ่านตลอดทาง มองดู โล่ง กว้างสุดสายตา มีกลุ่มไม้ยืนต้นแทรกเป็นหย่อมๆ และมีพืชอื่นเล็กน้อย เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง เป็นต้น สำหรับถนนนั้น มีอยู่หลายสายที่เทคอนกรีตตลอดสาย หรือราดยางมะตอย แต่เรียบมาก ๆ ไม่มีหลุมบ่อในถนนเลย ที่ Czech จะมีถนนสู้ที่ออสเตรีย ไม่ได้ ที่ออสเตรีย ราบเรียบจริง ๆ เหมือนกับทำถนนใหม่ แต่คงทำมาหลายปีแล้ว สมัยก่อนนี้เกือบ 20 ปีที่ผ่านมาและก่อนหน้านี้ ถนนก็ดีแบบนี้เหมือนกัน ทั้งนี้เห็นมีรอยซ่อม ปะถนน แต่เขาทำเหมือนของเดิม หรือเรียบจนไม่ทราบว่ามีการซ่อมมา เห็นถนนที่ราบเรียบ ทอดยาวเหยียดไปสุดลูกหูลูกตา แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว เพราะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยชินในบ้านเรา
ออกจากเมืองปรากได้ไม่นาน ก็ได้ขับเข้าถนนหมู่บ้าน ซึ่งก็ได้เห็นชีวิตประจำวัน ถนนหมู่บ้านหรือในเมืองในยุโรป ที่รถผ่านน้อย ตามทางแยกจะเป็นวงเวียนมากกว่าไฟจราจร จากที่ขับรถไปเรื่อย ๆ เห็นบ้านแบบยุโรปสายงามอยู่บนเนิน หรือแอ่งเนินลดหลั่นกัน เหมือนในเทพนิยาย ในหมู่บ้านที่ Czech นั้น ถนนซ่อมก็มีบ้าง ทำให้ตั้งรั้วให้วิ่งทางเดียวเป็นบางแห่ง แต่ถนนราบเรียบก็ยังเป็นเอกลักษณ์ที่นี่ วิ่งไปสักพักก็ได้แวะที่เมือง Cesky Krumlov ที่ยังอยู่ในสาธารณะ Czech เป็นเมืองโบราณ มีลำคลองไหลผ่าน ลำคลองนี้ตื้น คนผู้ชายยืนถึงในระดับลำคอไม่ทราบเป็นคลอง man made หรือลำคลองธรรมชาติ แต่ยาวมาก ระดับน้ำไหลผ่านตลอดเวลา ที่ตรงนี้ เป็นที่ชาวเมืองหรือฝรั่งมาเล่นเรือพาย พักผ่อนกันหลายลำเป็นที่สนุกสนาน มีกั้นฝายในลำคลองให้น้ำไหล ทำให้เรือผ่านช่องเล็ก ๆ ข้างต้นฝายแบบล่องแก่ง เป็นที่ตื่นเต้นเล็กน้อย ริมคลองเป็นเนินสูง และบนเนินเป็นอาคารโบราณ ปลูกเหมือนโบสถ์หรือพระราชวัง และมีสะพานข้ามลำคลอง สำหรับอาคารตามถนนที่เป็นก้อนหินโบราณ ก็เป็นอาคารแบบโบราณเหมือนกัน แต่ละอาคารล้วนก่อด้วยอิฐหรือปูน น่าจะอายุหลายร้อยปี เป็นอาคารเก่า ได้เดินขึ้นไปบนประสาทใหญ่ ๆ บนเนิน ที่คล้ายกับเป็นเมืองหรือวังโบราณ อยู่บนนั้น เพราะมีหลายตึกโบราณและลานกว้าง ๆ และแน่นอนที่อาคารหนึ่งบนเนิน มีหลังคาทรงจั่วสูง ๆ มีไม้กางเขน ตรงนั้นคงเป็นโบสถ์ ได้เดินไปที่ระเบียงริมผาเนินให้ชมวิว เมื่อมองลงมา นอกจากตรงที่มาพัก เดินอยู่นี้ ข้างล่างห่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวนี้ เป็นเมืองที่บ้านคนอยู่กันเป็นชุมชนใหญ่ ๆ หลังคาสีแดงติด ๆ กัน แต่ทุกอย่างเป็นที่ระเบียบเรียบร้อยดี มีนักท่องเที่ยวมาเป็นกลุ่ม ๆ และแน่นอน สาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวกันเองเป็นดอกไม้ประดับสถานที่ท่องเที่ยว ได้เดินดูสักพัก เมื่อถึงเวลา ประมาณ 4 โมงกว่า ๆ ก็กลับไปที่จอดรถ ผ่านสวนสาธารณะ ทางเดิม เห็นห้องน้ำฟรีในสวนสาธารณะ จึงรีบใช้บริการ แม้จะเปิดบริการเงียบ ๆ ข้างในมืด ๆ ไม่คอยมีคน แต่ห้องน้ำสะอาดมาก ๆ ไม่มีกลิ่นสกปรก เพราะความมีระเบียบวินัยของคน ทำให้สร้างระบบได้ดี ได้ขับรถต่อไปที่ Salzburg แล้วเข้าพักที่โรงแรม Ibis เป็นคืนสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ตกลง คืนแรก และคืนสุดท้ายพักที่ Ibis และคืนกลาง ๆ ระหว่างทางพักที่ Park Inn เป็นแผนการเดินทางที่ลูกได้วางแผนไว้ เมื่อถึงโรงแรม มี Mc Donald อยู่กับโรงแรม และเป็นเวลาค่ำ (แต่ยังสว่าง) ประมาณ 2 ทุ่ม ก็เลยเป็นลูกค้าเล่นเน็ตฟรี ได้สักพัก มาที่ห้องโรงแรม ปรากฏว่าอยู่ไกลจนสุดตึก Wi Fi อ่อนใช้การไม่ได้ แต่ยังไงก็กลับอิตาลีแล้ว อย่าลืมนะครับ หน้าร้อนผู้คนมีความสุข แต่หน้าหนาว พวกเขาต้องผจญความหนาวเย็นที่สุด ๆ หิมะขาวโพลนไปหมด ไม่สามารถออกมาเดินเล่นแบบนี้ได้ เขาจึงเชื่อในพระเยซูและพระเจ้า เพราะดินฟ้าอากาศที่ทรมาน แต่คนยุโรปก็ใช้เวลาที่จำกัดนี้ให้มีประโยชน์กับตัวเอง และร่วมในระเบียบสังคมอย่างพร้อมหน้า เจอกันใหม่ครับ บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 13 วันที่ 14 สิงหาคม 2558 เขียนที่ห้องพักที่ Modena
ในที่สุดก็กลับถึงบ้านแล้ว สำหรับเมื่อวานนี้ ได้ออกจากโรงแรม Ibis ที่อยู่นอกเมือง Salzburg ประมาณ 9 โมงกว่า ๆ หันเหกลับอิตาลี ไม่ได้เข้าเมือง Salzburg ที่มีเพื่อนทักมาว่ามีสถานที่น่าดูหลายแห่ง เป็นที่น่าเสียดาย แต่ชื่อเมืองนี้คุ้นมาก ๆ เหมือนกับว่าเคยไปแล้ว นานมาแล้ว และอนาคตก็คงมีโอกาสอีก ก็ตั้งความหวังไว้ชีวิตจะได้มีความหมาย
สำหรับ 2 ข้างทาง เป็นเหมือนที่บรรยายมา สวยงามมาก ภายในออสเตรีย มีถนนดี วิ่งสบาย ไม่มีไฟจราจร เพราะเป็นมอเตอร์เวย์ บรรยากาศเป็นวิวทุ่งหญ้าที่เก็บเกี่ยวแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้าวโพดและธัญพืชอื่น ๆ กำลังเริ่มออกดอกไม่นาน คงจะเก็บประมาณปลายกันยายน ซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดฤดูร้อนพอดี คงจะทราบกันอยู่แล้วว่า ดอกหัวของข้าวโพดนั้นเป็นดอกตัวผู้ จะส่งละอองเกสรตัวผู้ ปลิวไปตามลม ไปตกที่เส้นไหมที่ฝักข้าวโพด ซึ่งมีน้ำเหนียว ๆ รับละอองเกสรดังกล่าว ละอองนั้นจะเคลื่อนมาผสมกับไข่ในรังไข่ พัฒนาขึ้นเป็นเมล็ดข้าวโพด แล้วสัตว์ทั้งหลายก็กินเมล็ด เปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารมนุษย์ แต่บางฟาร์ม ก็สับเก็บข้าวโพดทั้งต้น ตอนที่ข้าวโพดเริ่มออกดอก สับต้นเป็นชิ้น ๆ แล้วหมักไว้เลี้ยงวัว โดยเฉพาะวัวนม ตอนที่มันกำลังถูกรีดนม ก็ยืนกินอาหารพวกนี้ ปล่อยให้ถูกรีดนมได้ สำหรับเมล็ดข้าวโพด ใช้เลี้ยงไก่ไข่จะให้ไข่สีสวย เพราะสีเหลืองของเมล็ดมีแคโรทีน
กลับมาเรื่องการเดินทาง ก่อนถึงชายแดนอิตาลีนั้น 2 ข้างทางถนน มีวิวของภูเขาใหญ่ ๆ เรียงกันยาวเหยียด คิดว่าคงเป็นเทือกเขาแอลป์ (Alpe) เพราะสูงใหญ่มหึมามากบนยอดมีสีขาว ๆ ไม่ทราบว่าเป็นหินสีขาวหรือหิมะ แต่ก็ทำให้เกิดสีสันสวยงาม แต่ขณะที่นั่งรถอยู่ จะถ่ายรูปไม่ได้ดี เพราะกว่าจะเล็งกล้องได้ วิวที่สวยงามก็ผ่านไปก่อน ที่ยังไม่เคยมา อยากให้มาเห็นเอง ยิ่งตอนเป็นฤดูหนาว หิมะตก ตรงนี้จะขาวโพลนไปหมด จะสวยไปอีกแบบ แต่คนที่อยู่ที่นั่นคงไม่ชอบ
ย้อนกลับไปที่วิวทุ่งหญ้าที่มองเห็น 2 ข้างทาง จะเห็นบ้านแบบยุโรป หรือกลุ่มบ้านปลูกห่างไกลออกไปที่แถวชายเนิน ดูประกอบภาพวิวให้สวยยิ่งขึ้น เหตุที่ปลูกบ้านบนเนินหรือริมชายเนินสูง ๆ คิดสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะหิมะตกหนา ถ้าปลูกบนแอ่ง หรือพื้นราบ อาจโดนหิมะคลุมหมด บางบ้านดูใหญ่ ๆ ไม่ทราบว่าเขาจัดเป็นที่พักคนเดินทางด้วยหรือไม่ เห็นมีดอกไม้สีแดง แสด เหลืองหลากหลายประดับที่ขอบหน้าต่าง
เมื่อข้ามเขตอิตาลีแล้ว ก็ได้เปลี่ยนให้ผมเป็นผู้ขับ เพราะลูกมาอยู่เกิน 1 ปีแล้ว ใบขับขี่ไทยใช้ไม่ได้ในอิตาลีต่อไป และเขาไม่ได้ทำใบขับขี่ที่นี่ เพราะไม่ได้ใช้รถยนต์ เพราะชีวิตที่นี่สะดวกสบายโดยไม่ต้องมีรถ และได้ทราบว่าลูกเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ ไม่ค่อยได้อยู่ประจำ สมัยก่อนผมขับรถคล่องมาก ปรับตัวเร็ว แต่ครั้งนี้ เริ่มต้นก็หลงลืมหน่อย เพราะขับรถเกียร์ออโต้มานาน และสมองก็ขี้ลืมมากขึ้น แต่ในที่สุดก็ได้ปรับตัว ขับถึงบ้านโดยราบรื่น โดยลูกกำกับบอกเส้นทาง ตอนเวลาเข้าเมือง
กลับไปสู่เส้นทางข้ามมาอิตาลีแล้ว มีถนนลอยที่แคบหน่อย เพราะเป็นชายเขาสูง มองเห็นรั้วกั้นแนวถนนแล้วมองออกไป ก็เห็นว่าถนนลอยอยู่สูงกว่าพื้นราบมาก ตรงนี้เป็นระยะทางยาว และรอดถ้ำหลายแห่ง เทคโนโลยีการเจาะภูเขาทำเป็นถ้ำนี้ ทำให้ร่นระยะทางของการขับรถได้มาก เพราะที่ผ่านมานี้ มีมากกว่า 10 หรืออาจจะ 20 กว่าถ้ำก็ได้ ส่วนที่ถนนแคบ เขาจำกัดความเร็วให้เหลือ 80 แต่ไม่เห็นมีคันไหนขับ 80 แต่ขึ้นถึง 100 ต้องระมัดระวัง คิดว่าคงไม่มีกล้องจับความเร็วแบบบ้านเรา ที่ถนนมอร์เตอร์เวย์นั้น ที่จำกัดความเร็วไว้ 130 ก็เห็นมีหลายคันที่วิ่งเร็วกว่านั้น แซงเรา ขณะที่เรารักษาความเร็วให้พอดี ๆ ยกเว้นตอนแซงที่ตามกันหลาย ๆ คัน สรุปแล้วก็ปรับตัวได้ สามารถขับไปอย่างราบรื่น ถ้ามีเวลาขับรถที่นี่ สัก 2 – 3 รอบ ผมจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเหมือนลูกที่ครั้งนี้เห็นท่องยุโรปด้วยแผนที่ GPS ผ่านโทรศัพท์มือถือ ผมนั่งรถอยู่ข้าง ๆ เห็น GPS บอกให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และวางโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าปัด ดูแผนที่ประกอบ ตลอดระยะทางไปกลับ ทำให้ไปได้ทุกท้องที่ เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือหุงข้าว กินกับต้มยำปลากระป๋องและไข่เจียว เสร็จแล้วถึงเดินไปร้าน super market เพื่อซื้อกับข้าวและผลไม้ มาไว้มื้อต่อไป เสร็จแล้วจึงมานั่งปล้ำกับโทรศัพท์มือถือ และ Tablet ที่ชักจะเก ๆ เพราะใช้งานมาก
สำหรับการนั่งรถท่องยุโรปนั้น คิดถึงครั้งหนึ่งที่ประทับใจ คือ การมาประชุมนานาชาติจนเสร็จ แล้วแวะหาเพื่อน ดร. ธิติ พุทธรักษา พาขับรถข้ามประเทศ จากฝรั่งเศสไปเยอรมัน ดูวิวทิวทัศน์ พอตกค่ำก็เข้า camping site ที่มีบริการอยู่ทุกเมือง โดยจะแบ่งลานกว้าง ๆ ออกเป็นล็อก ๆ แต่ละล็อก จะมีปลั้กไฟ และท่อน้ำต่อไว้ให้ ตอนไปกับ ธิติ ตอนนั้นนอนเต็นท์ที่เอาไปกางเอง แต่คนที่นี่จะเอารถ trailor มาจอดสามารถเอาไฟฟ้าและน้ำไปใช้ในรถได้ ขับรถมายุโรปครั้งนี้ เห็นรถ trailor บนถนนหลายคัน ทั้งที่ใช้รถลากจูง หรือเป็นตัวรถที่ต่อเป็นบ้านในตัว เนื่องจากตอนนี้เป็นตอนที่ผู้คนท่องเที่ยว หาทางอยู่กลางแจ้ง ทำให้คิดถึงการเดินทางในครั้งนั้นด้วย ตอนนั้นใช้เวลา 5 – 6 วัน ไม่ได้อาบน้ำ จนถึงวันสุดท้ายจะกลับเมืองไทย อาบซะหน่อย แต่ลืมเอาเหรียญไปหยอดน้ำอุ่น เลยอาบน้ำเย็น ที่เย็นเหมือนน้ำในตู้เย็น
สำหรับรายการต่อไป บอกลูกไว้ว่า วันอาทิตย์นี้ ชวนลูกขึ้นรถไฟไปกรุงโรม เพื่อระลึกถึงความหลัง แล้วก็คงจะกลับบ้านในอีกไม่นาน วันนี้คุยแค่นี้ก่อนครับ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 14 วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2558 ที่บ้าน Modena เมื่อวานนี้วันศุกร์ ไม่ได้ออกไปไหนที่เป็นที่น่าสนใจ เพียงแต่ออกจากบ้าน ตอนบ่าย 4 โมง เพื่อไปซื้อของที่ร้านขายคนเอเชีย และไปร้าน Super market เดิมที่อยู่ใกล้ที่พัก ซึ่งชักคุ้นกับคนขายที่ร้าน Super market แม้จะพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบว่าเขารู้หรือเปล่านะ ว่าที่เขาพูดออกมานั้น เราฟังไม่รู้เรื่อง แต่เราก็จ่ายเงิน และนำของที่ซื้อกลับเป็นประจำที่อยู่ที่นี่ที่ร้านขายของชำคนเอเชียนั้นเราตั้งใจจะไปซื้อน้ำปลา ซึ่งร้านคนเอเชียนี้ เปิดขายตลอดวัน แต่เป็นร้านที่ต้องเดินไประยะไกลพอสมควร ประมาณ เกือบ 2 กิโลเมตร แต่เดินเรื่อย ๆ ผ่านร้านขายของ ทำ window shopping ประจำวัน ส่วนใหญ่ ตอนเกือบ 4 โมง ร้านยังปิดอยู่ แล้วมาเปิดเอาตอน 4 โมงกว่า ๆ หรือตอนเดินขากลับ ร้านก็เปิดแล้ว แต่ยังไงก็ตามยังมีหลายร้านที่ปิดตลอด บางร้านตั้งแต่มายังไม่เคยเปิดเลย นี่เขาทำธุรกิจกันแบบไหน แล้วจะขายได้อย่างไร พยายามคิดถึงเหตุผลข้อหนึ่งคือในฤดูร้อน ฝรั่งที่นี่เขาจะไปพักร้อนกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ให้คุ้มกับอากาศดี โดยเฉพาะการไป camping โดยใช้รถ trailor เสียค่าใช้จ่ายไม่มาก และข้ามประเทศไปที่ไหนก็ได้ เคยเห็นบางครอบครัว พักผ่อน camping อยู่กันเป็นสิบ ๆ วัน ฝรั่งเขาคิดคนละแบบกับเราว่าการทำงานนั้น เพียงแค่ขอรายได้เลี้ยงตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องการรวย เพราะเมื่อเกษียณอายุ ทุกคนก็รับบำนาญจากรัฐอยู่แล้วตามที่เสียภาษี แต่พวกเขาขอมีความสุขที่จะได้เที่ยวพักผ่อน ใช้ชีวิตสบาย ๆ เป็นธรรมชาติในช่วงปี ประจำทุกปี หรือสรุปว่า ทำงานในช่วงปี เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายพักผ่อนกันเท่านั้น การหยุดพักเพื่อเที่ยวมีความหมายมาก ๆ เขาจะวางแผนล่วงหน้าเลยว่าปีไหนจะไปที่ใด
กลับมาที่ร้านขายคนเอเชียที่เจ้าของร้านเป็นคนจีน เราเห็นมะระ ถั่วฝักยาว และผักบุ้ง เลือกซื้อเฉพาะถั่วฝักยาว และแบ่งผักบุ้งจากถุงใหญ่ ภายใต้การแนะนำของลูกจ้างที่ร้านซึ่งเป็นฟิลิปปินส์ พูดกันรู้เรื่องหน่อย ต่อจากนั้น ก็พยายามหาน้ำปลาจนเจอ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งจากเมืองไทย อยู่ 2 – 3 ยี่ห้อ เลยเลือกขวดเล็กไว้ 3 ขวด ซึ่งคิดว่าถ้าไม่อยู่ลูกทำอาหารกินเองบ้างไม่ทำบ้างน้ำปลาอาจจะใช้น้อย แล้วพยายามหาเกลือแต่ไม่พบ มาพบที่ตลาดซุบเปอร์ใกล้บ้านเอง สำหรับการซื้อของนั้น เราใช้ทฤษฎี เลือกราคาสูงไว้จะได้ของที่คุณภาพดี ครั้งนี้เราซื้อไส้กรอกมาทำยำวุ้นเส้น ก็เลือกที่ขายราคาสูงหน่อย ผลไม้ก็เช่นเดียวกัน อย่าเห็นกับของ
ถูก ซื้อแพงไว้จะได้ของดี คิดถึงเมื่อเรากำลังเรียนที่เกษตร แล้วซื้อผลไม้ที่ตลาดสามแยกเกษตร แม่ค้าบอกว่าจะเลือกดี ๆ ให้ แต่เราปากไม่ดี บอกว่าให้เลือกเสีย ๆ ปนมาบ้าง เลือกดี ๆ ให้เรา แล้วที่เหลือเสีย ๆ จะขายใคร พอกลับหอ เราก็เจอแต่เสีย ๆ กินไม่ได้ เพราะปากเสียนั่นเอง ตกลงอาหารเย็นเมื่อวาน คือ ยำวุ้นเส้นและไข่น้ำ หรือแกงจืดไข่เจียวนั่นเอง สำหรับผลไม้คือองุ่นเขียว ที่นี่หวานกรอบดีมาก เมล็ดไม่ค่อยมี และมีผลไม้คล้าย ๆ ลูก peach เรียกว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ กล้วยหอมและแตงโมที่หวานกรอบ ขาดไม่ได้อยู่แล้ว
ติ๊ด ภรรยาบอกว่า ขนมปังที่ยุโรปนี้ อร่อยกว่าที่อื่น ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นด้วย เพราะผมเคยอยู่ที่ประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว แตกเป็นหลายประเทศ ตอนนั้นอยู่ประมาณครึ่งปี หรือเกินกว่า ขณะที่อยู่ ต้องกินขนมปังที่ร้านอาหารของโรงแรมทุกวัน เป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ เนื้อข้างในเหมือนขนมปังยาว ๆ ของฝรั่งเศส ตอนเช้าทำใหม่ ๆ ร้อน ๆ ผิวกรอบ ๆ อร่อยมาก เราคนไทย นอกจากกินแล้วยังเคยเอาขนมปังยัดใส่กระเป๋าไปกินกลางวัน เมื่อตอนที่เราจะโดดไปเที่ยวไกล ๆ ในวันหยุด คนไทยก็คือคนไทยนั่นเอง
ตั้งแต่มาครั้งนี้ ติ๊ดกินขนมปัง ฮอทดอกจากหลายแห่ง บอกว่าทุกแห่ง ติดใจ อร่อยทั้งนั้น ตอนที่ไปซื้อของที่ร้านคนเอเชีย ก็เคยไปนั่งพักกินน้ำและฮอทดอกที่นั่น บอกว่าอร่อย แต่ครั้งนี้ เขาปิดร้าน ติดไว้ที่หน้าร้านว่าจะปิด 20 กว่าวัน คงไป camping กัน เรากลับก่อน ก็เสียใจกับติ๊ดด้วยที่ไม่ได้กินที่ร้านนี้แล้ว ยกเว้นจะมาใหม่ ปีหน้า ลองนับดูว่าติ๊ดกินฮอทดอกกับขนมปังและมัฟฟิน ที่ไหนบ้าง ลองดูนะครับ ครั้งแรก วันเดินทาง
มาถึงที่ร้านสถานีรถไฟมิลาน กินขนมปังออกหวาน ๆ ครั้งที่สอง กิน pizza ที่ coop ครั้งที่ 3 ซื้อขนมปังร้านมุมตึกใกล้ ๆ บ้าน ครั้งที่ 4 ที่ข้าง ๆ ร้านของชำคนเอเชีย ที่ปิดร้าน พักฤดูร้อน ครั้งที่ 5 ขณะเดินทางไป สโลวีเนีย ซึ่งเป็นวันแรกที่เดินทาง แล้วแวะกินอาหารระหว่างทาง ผมกินสลัดที่มีข้าว มีมันฝรั่ง ถั่ว และผักต่าง ๆ แต่ติ๊ดแบ่งแซนวิชกับลูก เป็นขนมปังยาว ๆ ใส่หมูแฮม และผักข้างในเป็นก้อนโต ๆ เห็นว่าอร่อยมาก ของผมก็ไม่เลว อร่อยเหมือนกัน ครั้งที่ 6 ระหว่างเดินทางไป Auschwitz แวะกลางทาง ผมกินเบอร์เกอร์ปลา ติ๊ดกินฮอทดอกและมัฟฟิน พอถึงวันที่เราแวะ Cesky Krumlov ที่นั่นมีร้านอาหารจีน ซึ่งลูกชวนกิน แต่ติ๊ดไม่สนใจอาหารจีนแล้ว อยากหาร้านฮอทดอกดีกว่า ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า อาหารโดยเฉพาะขนมปังหรือที่มีแป้งประกอบ ที่ยุโรปนี้เขายอดกว่าที่อื่น ติ๊ดยืนยันว่าที่อเมริกา ยังสู้ที่นี่ไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าใครมาถึงยุโรปกันแล้ว โดยเฉพาะทางแถบตะวันออก อย่าทำแค่หาร้านอาหารไทยหรือจีน ลองของเขาดีกว่ารับรองว่าติดใจแน่ ๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าเหตุใด จึงต้องทำยำวุ้นเส้นใส่ฮอทดอก ทราบว่าอร่อยมาก แต่ผมไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ยกเว้นสัตว์น้ำอายุสั้น มานาน
สำหรับ เรื่องกินที่นี่ อย่าเผลอตัว ถ้าไปกินร้านใหญ่ ๆ ต้องมั่นใจเรื่องเงินที่พกมาด้วย ผมเคยแล้วที่กรุง
โรม ครั้งนั้น ผมนำคณะน้อง ๆ มาร่วมแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์จากข้าว สำหรับปี International Year of Rice ที่ FAO จัดให้มีขึ้น วันแรกได้ชวนน้อง ๆ ไปนั่งร้านอาหารกินสเต็ก สั่งไวน์มาดื่ม ทำตัวเป็นเศรษฐีเมืองไทย ปลากดว่าเงินกองกลางที่เรารวบรวมไว้ว่าจะใช้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น จ่ายเป็นค่าอาหารหมดวันนั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม เราได้ชื่อเสียงที่แสดงนิทรรศการ อาหารจากข้าว เพราะทุกคนที่มางานนี้จากทั่วโลกมาเข้าแถวรอชิมอาหารจากเมืองไทยที่มีหลากหลาย เรื่องการแสดงที่ต้องลงทุนนี้ เรายอดอยู่แล้ว ทั้งนี้ พอดีช่วงนั้น มีเพื่อนเป็นอุปทูตที่ปรึกษา ประจำ FAO อยู่ ที่นี่คือ ดร.พจน์ ชุมศรี เลยบริการเพื่อนให้มีชื่อเสียงในระดับโลกเพิ่มขึ้น และมีเจ้าของโรงสีที่เป็นผู้ส่งออกข้าวสารมาร่วมกับเราด้วย ก็ไปเตรียมอาหาร ของกินจากข้าวที่เอาวัตถุดิบมา ที่บ้าน ดร. พจน์ นั่นเอง
ก่อนจะจบครั้งนี้ ขอพูดถึงผมของผู้ชายว่าทำไมจึงร่วง แต่หนวดเครารุงรังไม่ร่วง เพราะไม่ค่อยได้หวีหนวดเครา แต่หวีผมบ่อย ผมสังเกตดูที่บ้านเราเอง พอหน้าร้อนมีเหงื่อ ดูผมลื่น หวีง่าย แต่พอเข้าหน้าหนาวอากาศเย็น ๆ ผมจะเป็นเส้นเล็ก บาง ๆ ชี้ไปชี้มา หวีไม่ลง แต่คนขอทานที่ไม่ได้สระผมนาน ๆ ยังมีเหงื่อหล่อเลี้ยงอยู่ แม้จะเป็นหน้าหนาว และไม่ได้หวีผมบ่อย อย่างเก่งก็เอามือเสย ๆ ก็ใช้ได้แล้ว ผู้ชายที่นี่เมืองหนาว ก็คงเข้าสูตรเดียวกัน คือไม่มีเหงื่อหล่อเลี้ยงผม และสระผมด้วยน้ำร้อน จึงร่วงง่าย ยกเว้นบางคนที่มี gene ลักษณะหัวล้าน ก็ต้องร่วงอยู่แล้ว ขณะนี้มาไม่กี่วัน ดูเส้นผมของผมลีบ ๆ ถ้าอยู่นานก็คงหมดศีรษะเหมือนกัน ครั้งนี้ ขอจบดื้อ ๆ แค่นี้ก่อน พบกันฉบับต่อไปครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 15 วันที่ 15 สิงหาคม 2558 ที่ Modena เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะไปโรมกันแต่เช้าตรู่ทางรถไฟ วันนี้เลยรีบส่งข้อความมาอ่านกันเล่น ๆ ก่อน วันนี้อยู่ที่บ้านตามปกติ ได้ออกไปซื้อของมาทำกินปกติ แต่ปรากฏว่าร้านปิดหมด เข้าใจว่าเป็นวันอะไรสักอย่าง แต่ก็มีร้านที่เปิดบ้าง ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของชำ ร้านแขก ร้านคนจีน แต่พอตอนค่ำ ๆ ออกไปเดินที่ถนนคนเดิน ที่คนออกมาเดินกันมาก ๆ ก็พบบางร้าน เช่น Mango เปิดให้เข้าไป shop ได้
ตั้งแต่มา ยังไม่เห็นคนเกเร หรือวัยรุ่นที่จับกลุ่มทำเสียงดังกันมากนัก เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่สงบสุขมาก ในตอนเย็นหรือคืน วันเสาร์ที่ยังไม่มืด มีคนนิยมออกมาเดินเล่นกันเป็นคู่ ๆ หรือเป็นครอบครัว เดินกับลูกหรือเข็นรถเข็นลูก หนุ่มสาวหรือคนแก่ก็ควงกันเป็นคู่ ๆ อากาศเย็นสบาย เป็นช่วงเวลาที่คนมาชุมนุมกัน เดินกันพลุกพล่าน ทั้ง ๆ ที่ตอนเช้าและบ่ายเงียบสงบ ไม่มีใครให้เห็นมากนักจากการเดิน ถ้าเดินไปอีกช่วงตึกหนึ่งก็จะพบกลุ่มของคนผิวดำ เป็นอีกกลุ่มสังคมหนึ่ง มีร้านอาหาร ร้านขายของชำเป็นของกลุ่มตัวเอง และแน่นอนที่มีแขกและคนจีนเป็นเจ้าของร้านในการเดินเล่นของเรา จะพยายามรักษาทางเดินบนฟุตบาท ที่มีทางดินผสมหินทอดยาวอยู่ข้าง ๆ ซึ่งคิดว่า เป็นทางจักรยาน แต่เมื่อจักรยานที่ขี่โดยคนผิวดำมา เขาจะขี่บนทางคนเดินเพราะราบเรียบกว่าทำให้เราต้องหลบ ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่มี 2 คนแม่ลูกฝรั่งเดินอยู่ข้างหน้าหันมาหาเรา แล้วทำท่าทางว่า ที่ต้องหลบนี้ไม่ถูกต้อง เมื่อเราเดินไปถึงร้านย่านคนดำ ก็แวะร้านขายของคนจีนที่คนดำเป็นลูกค้าแล้ว เราซื้อถั่วเขียวและน้ำตาลมาทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล
เมื่อกลับย้อนไปถึง เมื่อตอนบ่ายเกรงว่าผลไม้จะไม่พอ ก็เลยเข้าร้านแขกที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน แต่ดูผลไม้แบบค้างไว้นาน ไม่น่าจะมีคุณภาพดี เลยซื้อเพียงนิดหน่อย เช่น apple 1 ลูก มะเขือเทศ 3 ผลใหญ่ และกล้วยหอมอีก 3 ลูก ตอนจ่ายเงินนั้น ด้วยสัญชาตญาณไม่ไว้ใจแขก ก็พยายามพิถีพิถันนับเงินทอนให้ดี จนแขก (อายุประมาณ 40 ปี) รู้สึกได้ ดูหน้าตาเขาไม่ค่อย happy กับเรา คิดถึงแขก ขอนึกย้อนไปที่กรุงเวียนนา หน้าสถานีรถไฟ ขณะที่พวกเรานั่งกินอาหารญี่ปุ่นอยู่ที่ร้านตรงชานชาลา เห็นแขกหนุ่ม ๆ ยืนอยู่ 2 คน และมีแขกอีกคนเดินมาจับมือทักทายแล้วก็เดินต่อไป เข้าใจว่าเป็นแก๊งของแขกที่อยู่แถวนั้น เหมือนกับเมื่อ 36 ปีก่อน ที่ผมไป Budapest ไปกับพี่น้อย ที่เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จากจุฬาฯ และแต้ม จากสถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร รวม 3 คน โดยทางรถไฟ เมื่อถึงสถานีรถไฟแล้วเรารู้สึกงงว่าจะไปต่อกันอย่างไรดี ปรากฏว่า พี่น้อยพบแขกหนุ่มคนหนึ่ง เข้าไปคุย โชคดีมาก ๆ แขกคนนั้น ตอนออกจากอินเดียใหม่ ๆ เขามาอยู่เมืองไทยพักใหญ่ ๆ ก่อนที่จะไปที่ Budapest รู้สึกว่าเขาจะประทับใจคนไทย เพราะเขาพาเราไปโรงแรม และคอยดูแล แม้กระทั่งแลกเงิน เพราะแลกในตลาดมืด จะได้เงินมากกว่าที่ธนาคาร และรู้สึกว่าเขาจะเป็นลูกพี่ใหญ่ในการให้แลกเงินด้วย เวลาแขกมาเจอกัน เขาก็จับมือทักทาย แบบที่เห็นในเวียนนา สงสัยที่เวียนนา จะยังมีการแลกเปลี่ยนเงินในตลาดมืด แบบที่ Budapest ก็เป็นได้ รู้สึกขอบคุณแขกหนุ่มคนนั้นมาก ๆ
ที่ Modena เมื่อวานนี้ฝนตก ตอนที่เราไปซื้อของที่ร้านเอเชีย ก็ตกหยิม ๆ เราเห็นว่ากระจอกมาก เลยเดินตากฝนเล่น ๆ ไม่เปียก เพราะละอองเล็กมาก แต่ตอนเริ่มค่ำ ๆ ฟ้าคำรามนาน และฝนตก แต่ก็ตกจากเมฆชั้นกลาง ตกพรำ ๆ ไม่ได้ตกหนักเหมือนบ้านเรา ยังไง ต้นเมเปิ้ล ที่อยู่หลังบ้าน ได้รับน้ำชุ่มฉ่ำ ดูสดชื่นขึ้นดี คุยเรื่องฝนตกนี้ มีช่วงหนึ่งที่ไประนองพอดี วันนั้น ฝนตกหนักต่อเนื่องไปกว่า 2 หรือ 3 วันเต็ม ๆ คิดว่าความชื้นที่ได้มาครั้งนั้น คงมาจากทะเลโดยตรง เพราะตกหนักมากและนานมาก จนสงสัยว่า ลมหอบน้ำมาได้อย่างไรขนาดนั้น
ข้อดีของที่ Modena เรื่องอาหาร คือทำอาหารวางไว้ไม่บูด เพราะอากาศไม่ถึงกับร้อน และอากาศแห้ง จะตากเสื้อผ้าที่ซักไม่นานก็แห้ง และที่นี่ไม่มีมด ไม่มียุง ไม่มีหนู มีแต่แมลงวัน เราสามารถเก็บอาหารไว้ได้นาน ถ้ากินเหลือ และอาหารยังสะอาด ทั้งนี้ ต้องใช้ฝาหรือจานคว่ำปิดกันแมลงวันไว้ให้ได้ แต่วันนี้ เอาข้าวหอมมะลิ จำนวน 1 ถุง ผลิตโดยกลุ่มเกษตรกร ทางอิสานใต้ ที่ยังไม่ได้แกะถุง แต่มอดขึ้นเต็มไปทิ้งถังขยะ ขณะที่ทิ้ง รู้สึก guilty อยู่ว่าเอามอดจากบ้านเรามาปล่อยที่นี่ หวังว่ามันคงไม่แพร่กระจายไปที่ยุ้งฉางใคร ไปถึงกอง
ขยะแล้ว มันคงอยู่แถวนั้นและสลายไปเอง
วันนี้เขียนแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 16 วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2558 เมื่อวานนี้ ไปกรุงโรมมาแล้วครับ สมกับคำที่ว่าถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม เริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ ว่าจะออกจากบ้าน 7 โมง แต่ออกจริงเวลา 7.10 ต้องเดินอย่างเร็วไปสถานีรถไฟ จับรถไฟความเร็วสูงที่จองไว้แล้ว ตอนเวลา 7.30 ซึ่งไปยืนไม่นาน รถไฟก็มาพอดี ต้นทางมาจากมิลาน รถไฟนี้ กำหนดที่นั่งไว้เรียบร้อย ในตู้รถไฟมี monitor ให้ดูข้อมูลต่าง ๆ เช่น อากาศเป็นอย่างไร อุณหภูมิแต่ละเมืองที่ผ่านสถานีที่จะจอด และกำหนดเวลาแต่ละสถานีชัดเจน แบบเมื่อวานนี้ฝนตก ที่โรมก็ฝนตก จะบอกเลยว่า ฝนตกทั้งวัน แต่ที่ฝนตกที่นี่เมื่อวาน ยังเดินตากฝนสบาย เพราะตกหยิม ๆ ไม่เปียกมากนัก และตก ๆ หยุด ๆ ไปเรื่อย ซึ่งฝนทำให้อากาศเย็นขึ้น
ตอนที่อยู่บนรถไฟ เข้าห้องน้ำ 2 ครั้ง ซึ่งสะอาดและสะดวกมาก แต่ไม่มีประสบการณ์เรื่องก๊อกน้ำ การเปิดใช้น้ำเป็นระบบเคาะ ฝาที่จุดเครื่องหมาย แทนปุ่มเปิดปิด เคาะไปแล้ว น้ำไหลดี แต่หาที่หยุดไม่พบ มาทราบทีหลังว่ามันหยุดเอง แต่ไหลนานมากจนน่าห่วง รถไฟถึงกรุงโรม เวลา 10.10 ตามเวลาที่แจ้งใน monitor เปี๊ยะ ลงรถไฟมาฝนตกพรำ ๆ มีแขกเดินขายร่มหน้าสถานีหลายคน แต่ดูเม็ดฝนแล้ว ไม่ต้องใช้ร่ม แต่อย่างใด
การเดินทางครั้งนี้ ไปกับน้องบิม ลูก และติ๊ด ภรรยา ลูกเขาก็เพิ่งมาครั้งแรก แต่อาศัยแผนที่หรือข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ ทำให้เดินทางได้ตลอดวัน เริ่มต้นด้วยขึ้นรถเมล์ สาย 64 ไปกรุงวาติกัน ขึ้นไปหยอดเหรียญบนรถเมล์ ปรากฏว่าไม่มีเหรียญพอดีค่ารถ หยอดเหรียญที่ค่าสูงกว่ามันไม่ทอนให้ เลยเสียไปฟรี ๆ 6 ยูโร ค่ารถ 1.50 ยูโร พอขึ้นรถไปนาน ๆ เราก็สงสัยว่ามาถูกหรือเปล่านะ สมัยก่อนเคยมาไม่ไกลขนาดนี้ เคยเดินก็ถึง คิดห่วงว่าจะไปผิดทาง แต่ปรากฏว่าถูกต้อง และคนบนรถไปกันเยอะ พอถึงวาติกัน ลงกันแทบหมด รถว่างทันที เพราะเป็นวันอาทิตย์ด้วย
ที่กรุงวาติกัน ซึ่งด้านหน้าของโบสถ์ Saint Peter เป็นลานกว้าง ๆ รูปทรงกลม มี มีรูปปั้นเป็นรูปเสาปูนใหญ่ ๆเป็นแลนด์มาร์คอยู่ตรงกลาง มีคนมาเที่ยวแน่นมาก แถวที่จะเข้าไปดูโบสถ์ยาวเหยียด รอบลานกว้าง ๆ ทรงกลมนั้น แต่แถวก็เคลื่อนไปเรื่อย ๆ สำหรับ ผมและติ๊ด คงไม่ต้องเข้าไปดู เพราะเคยมาแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาต่อแถว และลูกก็อยู่ที่นี่มาเมื่อไหร่ก็ได้ จึงตัดสินใจไม่ต่อแถว สำหรับลูกถ้าจะมาใหม่ ก็คงรับเรื่องค่ารถไฟ ความเร็วสูงจาก Modena มาที่นี่ค่อนข้างแพง รวม 270 ยูโร หรือหมื่นบาทกว่า ๆ สำหรับ 3 คน ไป – กลับ
มีข้อสังเกตที่รอบ ๆ บริเวณภายนอกเขตกรุงวาติกันมีการตั้งเต็นท์แผงลอยขายของที่ระลึก ซึ่งกว่า 95% มีแขกเป็นเจ้าของ นอกจากนั้น ไม่ว่าที่สถานที่ท่องเที่ยว ณ จุดใด จะมีแขกยืนขายไม้ stick ที่ใช้ต่อมือถือ ถ่าย selfie (selfie stick) และมีอยู่ไม่กี่รายที่ขายร่มและน้ำดื่ม แสดงว่าที่กรุงโรมนี้มีแขกเยอะมาก เหมือนกับทุกแห่งในโลก รวมทั้งบ้านเราด้วย มาแบ่งของขายกันเองทำธุรกิจเป็นขบวนการ แต่อย่างไรก็ตามมีพวกอัฟริกามาปูเสื่อขายตุ๊กตาหรือเครื่องประดับไม้แกะสลักเล็ก ๆ อยู่ทั่ว ๆ ไป 3 – 4 ราย เข้าใจว่ามาจากอัฟริกาโดยตรงเพราะเคยเห็นไม้แกะสลักที่งานนานาชาติที่อัฟริกานำมาแสดงด้วย ชาวฟิลิปปินส์ ก็พบเป็นกลุ่ม ๆ วันอาทิตย์เป็นวันหยุดจากงานแม่บ้าน มาเจอสังสรรค์กัน เห็นแล้วก็คิดสะท้อนใจที่เราเองก็รวมอยู่ในกลุ่มประเทศที่พลเมืองเยอะ แต่ไม่ค่อยมีงานการ ทำให้คนต้องดิ้นรนไปหากินนอกประเทศกันมากมาย เช่นกลุ่มคนเหล่านี้ เหมือนกัน
เดินออกจากกรุงวาติกันไปต่อรถเมล์ เพื่อไปจุดอื่น ทั้งนี้ เพราะตั๋วรถเมล์มีอายุใช้งาน 100 นาทีด้วย เลยขึ้นรถเมล์ไปก่อน แต่ไปได้ครึ่งทาง รอต่อรถอีกคันหนึ่ง ไม่มาสักที จึงตัดสินใจเดิน และต่อจากตรงนั้น ก็เดินตลอดไป จนค่ำขึ้นรถไฟกลับ Modena เริ่มที่จุดแรก ไป Colosseo หรือคอลอสเซี่ยม เดินไปไกลมาก จนเมื่อย แต่มีแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้หลงไปไหน เมื่อเกือบถึง คอลอสเซี่ยม ซึ่งสมัยก่อนเคยผ่านเพราะอยู่ใกล้ เอฟ เอ โอ ก็เห็นตึก เอฟ เอโอ ตั้งตระหง่านอยู่ก่อน เป็นที่คุ้นตา เพราะมาประชุมหลายครั้ง คิดถึงความหลัง คือความเป็นหนุ่มที่ active สมัยนั้น ทะเยอทะยานอยากมีบทบาทในระดับโลก และให้คนไทยมีชื่อเสียง ระหว่างการประชุม พยายามสร้าง statemment เสนอในที่ประชุม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับงานของเราและที่เมืองไทย ซึ่งตอนนี้ผ่านไปหมดแล้ว ไม่สามารถหวนคืนไปได้อีก
ที่คอลอสเซี่ยมก็มีคนเยอะมากเช่นเดียวกัน มีทั้งเดินข้างล่าง และขึ้นไปดูข้างบนภายในตัวอาคารโบราณ เห็นเต็มไปหมด เราได้แต่ถ่ายรูปอยู่ข้างล่าง ไม่อยากไปเบียดคนข้างใน เคยเห็นด้านในคอลอสเซี่ยมในรูปและอ่านมาบ้างแล้ว เลยเดินไปรอบ ๆ แล้วเดินออก ข้อสังเกตที่นี่ คนเดินกันเยอะมาก เดินไปจะเห็นคนเดินหนาแน่นในทุกถนน เมื่อเดินไปผ่านถนนแคบ ๆ เห็นร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ที่คนไม่มาก เลยแวะกินพิซซ่าที่นี่ อร่อยมาก แป้งที่เข้าไมโครเวฟบางและกรอบ อร่อยตรงที่กรอบ และรสพอเหมาะ พิซซ่าที่ขายเป็นหน้าเห็ด กุ้ง มะเขือเทศ ฯลฯ เราเลือกหลาย ๆ หน้า ไม่มีเนื้อสัตว์ใหญ่ แต่ห้องน้ำที่นี่เป็นแบบโบราณ เก่ามาก ๆ อ่างล้างมือเล็ก ๆ มีคราบเก่าสีน้ำตาล ดูสะอาด แต่ไม่น่าใช้ เพราะความเก่า อย่างไรก็ตามมีคนเดินเข้ามาอุดหนุนตลอดเรื่อย ๆ
จุดที่ 2 เราไปที่น้ำพุเทรวี่ ปรากฏว่า เขาล้อมรั้ว เป็นแผ่นกระจกใส มองทะลุเห็นข้างใน เขาปล่อยน้ำออกแห้งหมด เป็นระยะซ่อมแซม แต่คนก็ยังมาดูมากอยู่ โดยเฉพาะหนุ่มสาวมาเป็นคู่ ๆ หรือเป็นกลุ่ม ก็ยังถ่ายรูปกับน้ำพุที่ไม่มีน้ำเพราะกำลังซ่อม ดูไม่แน่น แต่ก็หนาตา ร้านขายไอศกรีมอร่อย ๆ ตรงข้าง ๆ น้ำพุ ก็เปลี่ยนเป็นร้านขนมสีสดใส เราไม่ได้อุดหนุน จึงเดินต่อไป ที่จุดที่ 3 คือ บันไดสเปน หรือ Spanish steps มาที่นั่น คนเยอะเหมือนทุกแห่งที่ผ่านมา ตรงน้ำพุ ที่บันไดสเปน พบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาวุโสหน่อย มากับสาว อาจจะเป็นลูก แอ๊กท่าถ่ายรูปอยู่ โดยชู 2 นิ้วประกอบ คิดว่าคงเป็นคนไทย ที่ถ่ายรูปแล้ว ต้องชู 2 นิ้วด้วย ตรงนี้ นอกจาก ขายไม้ ต่อโทรศัพท์มือถือ (selfie stick) แล้ว ยังขายช่อกุหลาบสีแดง ๆ โดยแขก ยืนขายกันหลายคน อีกเช่นเดียวกัน ไม่ทราบว่าดอกไม้เกี่ยวอะไรกับตรงจุดนี้ ผมไม่ลึกซึ้งนัก ได้ถ่ายรูป ประมาณ 10 กว่ารูป ก็เดินไปดู สินค้าสวย ๆ ร้าน GUCCI ที่ตรงนี้มีร้านดัง ๆ มาเปิด 2 ข้างถนนเส้นตรงข้ามบันไดสเปนหลายร้าน ร้าน Louis vuitton มีกระเป๋าถือที่สวยมาก นางฟ้าเท่านั้น ที่ได้ใช้ของพวกนี้
ต่อจากนั้นได้เดินกลับไปที่ Termini หรือ สถานีรถไฟ ที่เป็น Land mark ของเรา เดินจนเมื่อยขบ ก็แวะร้าน Mc Donald ใกล้กับ Termini ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 เราตัดสินใจกินอาหารเย็นทั้งที่ยังไม่หิว แต่เมื่อย จะนั่งได้นาน ๆ หน่อย เพราะรถไฟที่จองไว้นั้น เวลา 7.35 ตรงเวลามาก กินเสร็จแล้ว ก็เดินเล่นไปทางข้างสถานีรถไฟ ด้านขวามือ ถิ่นเก่า ไปหาโรงแรม Capitol ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรายึดเป็นขาประจำส่งคนมาพักบ่อย ๆ จนขึ้น ระดับ ซี 9 แล้ว จึงได้เปลี่ยนโรงแรมไปในระดับที่ดีขึ้น ที่โรงแรม Capitol นั้น ก็สะอาดดี แต่ระบบเก่าเป็นร้อย ๆ ปี เช่นชักโครกติดฝาอยู่ข้างบนต้องดึงเชือกเวลาชักน้ำหรือเปิดไฟ ในจุดต่าง ๆ ต้องดึงเชือกที่ห้อยลงมา เมื่อวานก็ยังเปิดรับแขกอยู่เหมือนเดิม เดินไปแถวนั้น เคยมีร้านขายของเรียงกันไปจำนวนมาก ทั้งรองเท้า เสื้อผ้า แต่เมื่อวานดูเงียบเป็นที่สงสัย จนนึกได้ว่าวันอาทิตย์ ร้านขายของปิดหมด ยกเว้นร้านขายของที่ระลึก ที่แขกเป็นเจ้าของ หรือร้านของพวกแขกก็ยังเปิด แต่มีร้านที่อยู่ในสถานีรถไฟ ทั้งที่เป็นห้าง และเป็นห้อง ๆ เรียงกันยาวเหยียดทั้งชั้นบนและชั้นใต้ดิน ขายของหลากหลาย เดินดูจนเมื่อย จึงไปนั่งรอเวลาที่ร้านกาแฟ โดนัท มัฟฟิน ซึ่งที่นั่งในร้านอยู่แล้ว ก็เป็นฟิลิปปินส์ คุยกัน และชาติเอเชียอื่น ๆ ที่คลุมผมแบบอิสลาม จนถึงเวลารถจะออก ก็ไปเข้าห้องน้ำ ค่าห้องน้ำที่นี่คนละ 1 ยูโร ขณะที่ในชนบท แค่ 50 ยูโรเอง รถไฟ ออกตรงเวลา และถึงตามกำหนดเวลาพอดีเหมือนตั้งโปรแกรมไว้ อากาศเมื่อวานเย็นสบาย เพราะฝนตก วันนี้ก็ยังเย็นสบายอยู่
เมื่อมาอิตาลีครั้งแรก ๆ จะซื้อผ้าพันคอถูก ๆ และถ้วยหินอ่อน ประดับโต๊ะสวย ๆ เป็นของฝาก มีขายเยอะมาก แต่เมื่อวานไม่พบ หรือเราไม่สนใจจะซื้อแล้ว เพราะมีงบจำกัดมาก ๆ และที่เกรงพวกยิบซีมารุมล้วงกระเป๋า ตอนนี้ไม่มียิบซีให้เห็น ยกเว้นที่แก่ ๆ นั่งขอทานอยู่ ผมอุตส่าห์นุ่งกางเกง 2 ตัว คือขาสั้นที่มีกระเป๋าไว้ข้างใน และขายาว ไว้ข้างนอก กางเกงขาสั้นตัวในไว้ใส่ของสำคัญ ๆ เช่น พาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาล้วงกระเป๋าได้ปรากฏว่าทำไป เสียเวลา ไม่จำเป็น ดูบ้านเมืองปัจจุบัน เรียบร้อยมาก ไม่เหมือนเมื่อสมัยก่อนเลย มีแต่นักท่องเที่ยวเต็มทุกถนน ทั้งคนอิตาลีเอง และต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี จีนทางแถบนี้ ที่ประเทศสามารถเก็บเงินเข้ากระเป๋าได้มาก ๆ เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาอื่น ๆ ก็ทำเรื่องสวัสดิการไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน เพราะการท่องเที่ยว ที่ปลอดภัย เป็นรายได้หลักสาขาหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว
กลับถึงบ้าน ประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ ก็ทำกิจวัตร หาของกินให้อุ่นท้อง แล้วพักผ่อนตามอัธยาศัย
เจอกันใหม่ครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 17 วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2558 ที่ Modena วันนี้ได้อ่าน text เกี่ยวกับเมืองนี้ ทราบว่าเป็นเมืองที่อยู่ในแคว้นทางเหนือของอิตาลี ในแคว้นนี้ มีอยู่ 9 เมือง โดยมีเมืองโบลองย่า (Bologna) เป็นเมืองหลัก Modena ถูกพบเมื่อศตวรรษที่ 3 B.C. โดยพวก Celts และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน เป็นแหล่งผลิตทางการเกษตร แล้วพวก babarian เข้าครอบครองในศตวรรษที่ 4 – 5 เมืองได้เริ่มมีธุรกิจการค้า จนถึงในปี 1598 Modena ได้เป็น capital of the Este Dukedom (ซึ่งตั้งแต่ปี 1286 Mantuan ครอบครอง แล้วกลับไปสู่พวก Dukes จาก the House of Este เมื่อปี 1336 ถึง 1796) ซึ่งเห็นตึกใหญ่ ๆ เก่า ๆ นั้น สร้างตั้งแต่ปี 1598 นี้ และในศตวรรษที่ 19 the Auster-Este dynasty ได้พัฒนาเมืองให้ทันสมัย ตามที่พบเห็นในปัจจุบัน
Modena มีพลเมือง 179,937 คน อยู่ในแคว้น Emilia-Romagna ซึ่งมีพลเมือง 4,242,517 คน ซึ่งจะเห็นว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับทางแถบเอเชียเรา
จากข่าวคราวที่วางระเบิดที่ศาลพระพรหม ราชประสงค์ นำความสลดใจมาจนขณะนี้ สงสารเหล่าคนที่ต้องรับกรรมจากการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มาหาความแปลก ๆ ใหม่ ๆ ในบ้านเรา ที่ผมมีโอกาสเดินทางมาครั้งนี้ ก็เหมือนเป็นนักท่องเที่ยว เดินปะปนกับผู้คนอื่น ๆ อยู่หลาย ๆ เมืองในยุโรป ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมหาศาลทุก ๆ วัน ผมว่าพวกเขามีความสุขจากการพบเห็นสถานที่ใหม่ ๆ และดินฟ้าอากาศที่ดีและได้รับความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ที่ประชาชนเจ้าของประเทศมอบให้ นับวันเขาจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นทวีคูณ สงสารตัวเองและพวกเราที่ต้องอยู่รวมปะปนกับคนโหดเหี้ยม ทำลายล้างพวกเรากันเอง ไม่ว่าจะเป็นเป้าประสงค์จากต่างชาติหรือเรากันเอง ก็มีแต่ทำให้เราและสังคมของเราจนลงทุกวัน ใครก็ตามที่เป็นผู้ก่อการหรือผู้ปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องโหดเหี้ยมพวกนี้ที่เกิดขึ้นตลอดมา ขอให้มันประสบเคราะห์กรรม สนองตอบที่มันทำให้สาสม
พูดถึงห้องแฟลตมีที่ลูกได้อยู่นี้ กุญแจห้อง เข้าใจว่าล็อกด้วยระบบสนามแม่เหล็กเล็ก ๆ ต้องเอากุญแจที่เป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกุญแจรถไปจิ้มที่ประตู จึงคลายล็อกได้ ที่ปลายกุญแจมีปุ่มโลหะ สีเงินเล็ก ๆ อยู่ 2 ปุ่มไปจิ้มกับประตูที่มีปุ่ม 2 ปุ่ม ตรงจุดเดียวกัน คิดว่าเป็นการเชื่อมสนามแม่เหล็กให้ดันคันล็อกประตูให้คลายล็อก จึงสามารถเปิดออกไปได้ ประตูตึกข้างล่างก็ทำแบบเดียวกัน ทั้งเข้าทั้งออกต้องจิ้มเหมือนกัน แบบนี้ปลอดภัย ถ้ามีคนปีนหน้าต่างเข้า จะออกทางประตูไม่ได้ ถ้าไม่มีกุญแจจิ้มให้ออก สงสัยว่าคนที่อยู่ห้องอื่น ก็จิ้มประตูคลายล็อกที่ประตูหน้าตึกเหมือนกัน ฉะนั้น โค๊ดในกุญแจจะเหมือนกันหรือไม่ สงสัยจัง เพราะไขเข้าออกประตูหน้าได้เหมือนกัน หรืออาจจะมี code ที่เปิดแตกต่างกัน ก็ได้ ตรงนี้คงคล้ายประตูโรงแรมที่เป็นบัตรมีแถบแม่เหล็กอยู่ด้านหนึ่ง ที่ต้องสอดเข้าไปให้ตรงกัน จึงจะเปิดออกได้ ที่ผมศรัทธาประเทศทางตะวันตกนี้ เพราะพวกเขาเป็นนักประดิษฐ์ เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้มนุษย์ ทางแถบเอเชีย ถึงแม้จะมีการผลิตแบบโรงงาน ด้วยการลงทุนจากต่างชาติ แต่เราก็ได้แต่ค่าแรงงานราคาถูกเท่านั้น ประเทศทางแถบนี้ เขาขายเครื่องมือ เครื่องจักร ที่เขาประดิษฐ์เอง เช่น รถยนต์ที่ประกอบในเมืองไทย เครื่องมือผลิตชิ้นส่วนรถไปตั้งเป็น line ที่ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ทางอุตสาหกรรม ต้องสั่งซื้อจากประเทศที่พัฒนาเหล่านี้ ไปประกอบเป็นโรงงานก่อน ที่ Modena นี้ เขาภาคภูมิใจมากที่เป็นผู้ก่อตั้งการผลิตรถยนต์ Ferrari เขามีพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติการผลิตรถ Ferrari ที่นี่
สำหรับผู้ที่ชอบเพลง Opera ที่นี่มีนักร้องที่โด่งดังมาก มีหลายคนที่อยู่ในวงการ อาจจะเคยได้ยินชื่อ Luciano Pavarotti, Mirella Freni และ Raina Kabaivanka ผมได้ไปฟังเพลง opera ที่ Slovenia และที่เวียนนาแล้วชอบมาก ๆ ซึ่งในสมัยที่ยังเด็ก ๆ ไม่เคยสนใจเลย แต่สมัยที่อายุ 20 กว่า ๆ ยังดื่มเหล้าอยู่แทบทุกวัน พอเมาได้ที่แล้วจะชวนกันไปนั่งฟังเปียโนที่สี่แยกราชประสงค์ คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ Dino มีชาวฟิลิปปินส์ เป็นผู้เล่น สามารถขอเพลงได้ ผมมักจะขอ Blue Danube หรือ Born Free ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้ มีร้านอาหารเปิดใหม่ที่หน้าบ้าน ชื่อร้านนนทรีเกษตร ที่ร้านมีนักร้องผู้หญิงฟิลิปปินส์ ที่มีสามีซึ่งก็เป็นนักร้องคนไทย คุยไปคุยมา เขาบอกว่า คนที่เล่นเปียโนที่ราชประสงค์เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว เป็นพ่อเขาเอง โลกนี้กลมโดยไม่ต้องพิสูจน์
จากที่ได้เขียน message ครั้งที่ 16 ได้รับข้อความจากท่าน สมพงษ์ นิ่มเชื้อ หน.สปษ. โรม หรือที่เรียกกันสบาย ๆ ว่า ทูตเกษตร ผมดีใจมาก ๆ ที่ได้พบผ่านทางข่าวที่เขียนทุกวัน ท่านสมพงษ์ เป็นข้าราชการรุ่นน้อง ที่อยู่กรมประมง แล้วไปประจำที่ปักกิ่งนานพอสมควร ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน เกิดสนิทสนมกันมาก ดีใจที่เขาได้มาอยู่ที่นี่ แต่คงไม่ได้พบกัน เพราะที่ผมอยู่ตรงนี้ ห่างไกลกันมาก แค่ได้รับข่าวคราวครั้งนี้ ตามประสา คนแก่ ได้เจอน้อง ๆ มีความรู้สึกดีใจมาก ๆ ขอให้เราได้ติดต่อทาง Face book ไปเรื่อย ๆ
สำหรับครั้งนี้ ขอแค่นี้นะครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 18 วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2558 จะกลับกรุงเทพฯ วันเสาร์เช้าตามที่วางแผนมาจากบ้าน จึงเหลือเวลาที่นี่อีกแค่ 2 วันให้เดินเที่ยว และดูของ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋าถือฯ ตามอัธยาศัย คิดถึงเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ ต้องซื้อของทุกอย่างที่ขวางหน้า แบกกระเป๋าที่หนักอึ้ง กลับบ้าน มีความคิดว่าของนอกจะต้องดี แต่ปัจจุบันนี้ เหตุการณ์เปลี่ยนไป ที่บ้านเราก็มีของดี ๆ ทุกอย่าง โดยเฉพาะเครื่องแต่งตัว เราแต่งดีไป หน้าตาก็เหมือนเดิม เอาไว้ซื้อของถูก เช่น แถวตลาดโรงเกลือ หรือของลดราคาตามห้างใหญ่ ๆ จะดีที่สุด ไปนั่งเก้าอี้ที่วางไว้พักขาตามทางเดินที่ห้างเซ็นทรัล เล่นมือถือ มีคนมาถามทาง เรียกเราว่า “น้อง” พอเงยหน้าขึ้น เขาผงะนิดหนึ่ง แล้วบอกว่า “ขอโทษครับคุณตา” ขนาดแต่งตัวไม่ค่อยดีนะเนี่ย
ที่ได้เดินทางมานี้ ได้มาทำความรู้จักกับ Modena เป็นส่วนใหญ่ อยู่ไปก็มีความคุ้นเคย ตอนกลางวัน ก็ออกตลาดซื้อของมาทำกิน ตอนเย็น หลังกินข้าวแล้วก็ออกเดินไปที่ถนนที่คนเดินกันมาก ๆ เพราะตอนนี้ เป็นฤดูที่อากาศดีที่สุด คนออกมาเดินกันมาก หรือมานั่งร้านหรือบาร์ที่ออกมาตั้งโต๊ะกลางแจ้ง เมื่อวานเย็น ความจริงคือ ทุ่มครึ่ง ถึง 2 ทุ่ม เดินไปที่ร้านริมถนนที่มีลานกว้าง ๆ คนนั่งที่ร้านนี้กันเยอะ แต่ที่ประทับใจคือ โต๊ะยาวที่เอาโต๊ะมาต่อกัน มีคนแก่แทบทุกคนนั่งกันประมาณ 10 กว่าคนทั้งหญิงชาย เคยเดินมาตรงนี้ ก็พบกลุ่มนี้ แต่เขาไม่ได้ดื่มของมึนเมา ก็แค่ refreshment ธรรมดา ทำให้คิดถึงร้านกาแฟในชนบทสมัยก่อน ที่คนสูงอายุมารวมหัว นั่งกันตั้งแต่เช้าตรู่ อย่าว่าแต่ใครเลย ผมเองสมัยวัยรุ่นเรียนชั้นมัธยม ก็รีบไปโรงเรียนแต่เช้า แต่ไม่ได้เข้าโรงเรียน ไปนั่งร้านกาแฟ สูบบุหรี่ กับเพื่อน ๆ จนถึงเวลาโรงเรียนเข้า จึงไปโรงเรียน บางวันถือโอกาสโดดร่ม ยืมเงินเจ้าของร้านนั่นแหละไปเที่ยวกัน
เมื่อวานนี้ตอนบ่าย ไปตลาดสดไปซื้อของที่แผงลอยหนึ่ง คนขายเป็นอิตาลีพื้นเมือง พอดีเอื้อมมือไปสัมผัสกับพริกที่เขาวางขาย ไอ้หนุ่มแสดงเสียงพูดมาว่าห้ามแตะ ไม่แตะก็ได้ สั่งซื้อเลย ก็ทุลักทุเลเรื่องจ่ายเงินนิดหนึ่ง เพราะคุยไม่รู้เรื่อง ต่อจากนั้น ไปยืนตรงกล้วยหอม เจ้าเดียวกันชี้ไปที่กล้วย แต่เขาไม่ยอมมา เห็นบริการคนอื่นที่ทยอยกันมา จนนานพอสมควร เราต้องเดินจากไป ซื้อร้านแขกเจ้าเก่าดีกว่า ดูจะสะดวกกว่าแม้ของจะไม่มีคุณภาพ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในต่างแดน เพราะสถานการณ์ของเราและเขาต่างกัน ถ้าเป็นที่ประเทศไทย เราชอบคนแปลกหน้า ถ้ามีต่างประเทศมาจะได้รับบริการเต็มที่ แต่สำหรับฝรั่ง เขาคงคิดว่าคนเอเชียด้อยกว่า และที่ไปอยู่กับเขานั้นไปเบียดเบียนทำให้เขาต้องลำบาก คงไม่ค่อยชอบนัก นี่คิดเองนะครับ แต่ต่อมา ก็ไปตลาด super market ใกล้ ๆ บ้าน ซึ่งเมื่อวาน ได้ซื้อกุ้งแช่แข็ง คิดว่าจะมาทอดกระเทียมพริกไทย แหม่มรุ่นป้าหรือคุณยายที่เป็นแคชเชียร์อยู่ ได้หยิบกุ้งขึ้นมา แล้วพยายามพูด แสดงท่าทางที่จริงจังเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เขาเตือนอะไร ทำท่าทางประกอบ ทำปากฉีก ๆ จนในที่สุด ผ่านไป 2 – 3 นาที เราเอาตัวอย่างกุ้งที่เล็กกว่ามาให้เขาดูว่าเขาจะเตือนอะไร เขาทำมือว่าไม่ใช่ ๆ ของเดิมดีแล้ว ความหมายของเขาอยากจะบอกเราว่าที่เราเลือกนี้ good คือดีจริง ๆ ฟังตั้งนาน เขาคงอยากหาเรื่องคุย เพราะเรามาทุกวัน และอย่างน้อยก็ยิ้มให้เขาด้วย นี่คือสื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ใช้ภาษา
วันนี้ จะได้ไป coop อีกสักครั้ง ซึ่งหวังว่าครั้งนี้คงจะลงรถเมล์ได้ถูกต้อง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร เพียงแต่อยากไปเดินเล่นดูของอีกสักครั้ง พอเที่ยง อาจจะกิน pizza ร้านที่เคยกิน เห็นว่า แป้งบางกรอบ อร่อยดี วันนี้ ฝนตกอีกวันหนึ่งทำให้อากาศเย็นสบาย ประมาณ 18 องศา คิดว่าอากาศที่ร้อนเหมือนตอนอยู่ช่วงกลาง ๆ อาจจะหมดไป เป็นของธรรมดา ที่อากาศภาคพื้นดินร้อน ความชื้นก็ระเหยลอยตัวขึ้น พอขึ้นไปสูง ๆ เจอความเย็น ก็กลั่นตัวเป็นละอองน้ำตกลงมา แล้วเจอความร้อนระเหยขึ้นไปใหม่ ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้ จนละอองน้ำเกาะตัวกันหนาขึ้นกลายเป็นเม็ดฝนตกลงมา แต่ที่นี่ ความชื้นน้อย ฝนตกก็ไม่หนักแบบเขตร้อนชื้นบ้านเรา
เขียนสั้น ๆ แค่นี้ก่อนครับ เจอกันฉบับต่อไป
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

    การเดินทางเป็นยอดของการหาความรู้ ความคิดใหม่ พอดีผมมีโอกาสได้เดินทางมาเมือง โมดีน่า อิตาลี ระหว่างวันที่ ๑ –  ๒๒ สค เพื่อมาเยี่ยมเยียนลูก ที่ในช่วงนี้ทำงานอยู่ที่นี่ ดีใจมากๆ ที่ได้เดินทางอีก หลังจากว่างเว้นไปนานมาก ได้ออกจากบ้านตั้งแต่
ครั้งที่ 19 วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2558 เหลืออีกเพียง 2 วัน ก็ครบกำหนดกลับ ตอนนี้ก็เริ่มคุ้นเคยกับเมือง Modena พอจะรู้ทิศทางว่าจะไปที่ไหนสะดวก ก็กลับบ้านแล้ว รู้สึกอิจฉาคนที่นี่ ที่อยู่กันอย่างเบาบาง สงบเงียบ อากาศดีในช่วงฤดูร้อน ถ้าเข้าใจภาษาและอยู่เป็นพลเมืองที่นี่ คงจะทำให้อายุยืน และสุขภาพจิตดี
ตามที่ได้เคยเกริ่นไว้ว่าอยากจะไปศูนย์การค้า คือ coop ที่เคยไปมา 2 ครั้งแล้วอีกสักครั้ง เมื่อวานนี้ก็ได้ดั้นด้นไปอย่างราบรื่น เพราะเริ่มมีประสบการณ์ในการเดินทางเอง และที่ผ่านมาที่เคยผิดพลาดเป็นบทเรียน เมื่อถึง coop ก็ได้ให้ ติ๊ด ภรรยาเดินดูสินค้าตามที่สนใจ และคงต้องตัดสินใจซื้อ เพราะพอกลับบ้านแล้ว สุดวิสัยที่จะได้มาอีก ยกเว้นถ้าลูกได้อยู่ทำงานที่นี่ต่ออีกนาน ๆ แล้วให้พ่อแม่มาเยี่ยมอีก สรุปติ๊ดได้กระเป๋าถือ 1 ใบ ตามที่เขาคิดปรารถนามานาน ดีใจที่เขาสมหวังสักที ต่อจากนั้น ก็ไปกินพิซซ่ากันที่ร้านเดิมที่เคยมาครั้งก่อน ซึ่งเป็นร้านธรรมดา ๆ แต่คนก็ทยอยกันมาอุดหนุน พิซซ่าอร่อย เป็นหน้ามะเขือเทศ แป้งบางกรอบเหมือนเดิม เห็นโต๊ะข้าง ๆ สั่งเบียร์มากิน ทำให้คิดถึง เมื่อปี 1971 ที่ได้เข้าโครงการแลกเปลี่ยนไปอยู่กับครอบครัวเกษตรกรอเมริกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บริษัท Continental Grain ที่เป็น sponsor ใน Iowa ได้ให้ไปเยี่ยม และเขาได้พาไปกินพิซซ่า ของ Pizza Hut ที่เปิดใหม่ ยังไม่รู้จักมาก่อน โดยกินกับเบียร์เป็นเหยือก ๆ ครั้งนั้นได้ดื่มเบียร์ติดลมแบบคนไทย จนคนที่พาไปเลี้ยง ต้องพากลับ ฝรั่งเขาดื่มเบียร์แค่ 2 เหยือก ก็ถือว่าเยอะแล้ว ต่างกับคนไทยที่มีความมันในหัวใจ ดื่มไปเรื่อย ๆ จนเมา แต่มีความรู้สึกประทับใจพิซซ่ากับเบียร์ ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา เมื่อเสร็จสิ้นโครงการที่ วอชิงตัน ดีซี ทางบริษัทได้ให้รางวัลผมบินไปนิวยอร์ค เพื่อไปขึ้นตึก Empire State และได้เอาเรื่องของผมลงในวารสาร Continews เผยแพร่ไปที่สาขาทั่วโลก ที่เป็นแบบนี้เพราะระหว่างที่อยู่กับครอบครัว ผมได้เขียนเล่าเหตุการณ์ประสบการณ์ถึงเขาตลอด เหมือนกับที่เขียนตอนนี้
ต่อจากการกินพิซซ่าแล้ว ก็ได้ไปนั่งที่เก้าอี้ที่ตั้งไว้พักแก้เมื่อยขากลางทางเดิน รอให้ติ๊ดเข้าไปสำรวจ coop จนเต็มที่ แบกเอากาแฟผง (ต้มเอง) มา 2 แพค เพราะลูกเคยเอาหม้อต้มกาแฟกลับบ้านเมื่อคราวที่แล้ว กาแฟผงนี้หอมมาก แต่ตอนทำก็ลำบากกว่าแบบ instant นิดหน่อย ที่ coop นี้ ผมเข้าห้องน้ำบ่อยมาก เพราะที่อิตาลี และยุโรปนี้ เข้าห้องน้ำยาก เพราะในที่สาธารณะทั่วไป ห้องน้ำต้องหยอดเหรียญ หรือมีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ที่นี่ฟรี แม้ที่นี่จะไม่มีโถปัสสาวะ ต้องเข้าในห้อง หนักเบาก็ที่เดียวกัน
เมื่อกลับมาที่ใจกลางเมือง Modena หรือที่พักแล้ว ได้แวะร้าน สำหรับชาวเอเชีย อัฟริการ้านเดิม เพราะเป็นทางผ่านรถเมล์ขากลับ ได้ซื้อถั่วฝักยาว ถั่วงอก มันเทศ (ทำมันต้มน้ำตาล ของชอบของผมเอง) ต้นหอม (ทำยำวุ้นเส้น) และวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ร้าน super market ใกล้บ้านไม่มี อาหารเย็นเมื่อวานนี้เลยเป็นอาหารไทยที่มีวัตถุดิบพร้อมหน่อย ทั้งนี้ ต้องหมายเหตุไว้ว่า ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ที่ทำเมื่อวันก่อนก็ยังไม่หมด เพราะทำหม้อใหญ่ ถั่วเขียวเยอะ เลยเอาเข้าตู้แช่แข็งไว้ เมื่อเสร็จหลังอาหารเย็น ได้ออกไปเดินย่อยอาหารที่สนามใกล้ ๆ บ้านซึ่งกว้างมาก ขนาด 4 – 5 สนามฟุตบอลรวมกัน ข้อดีของที่นี่ คือมีสนาม หรือสวนสาธารณะที่ออกกำลังหลายแห่งมาก แต่ละแห่งก็มีคนมาวิ่งกันประปราย แค่ไม่กี่คนไม่หนาแน่น เพราะพลเมืองน้อย ที่สนามใกล้บ้านนี้ เป็นที่ชุมนุมเด็กเล็ก ๆ 4 – 5 ขวบ เล่นขี่จักรยานแข่งกันเกือบ 10 คน น่ารักมาก เห็นเด็กเล็ก ๆ เล่นสเก็ตบอร์ด ก็น่ารัก มีคนที่โตแล้วเล่นสเก็ตบอร์ด มีหนุ่ม ๆ จับกลุ่มกัน และพวกสาว ๆ ก็จับกลุ่มกันตามอัธยาศัยและเชื้อชาติ นี่ก็น่ารักอีกเหมือนกัน มีวัยรุ่นและวัยต่าง ๆ แต่ไม่มีเด็กเกเรหรือขี้เมา คงเป็นเพราะพลเมืองน้อยเบาบาง คนก็เลยเรียนรู้ที่จะรักษาระเบียบวินัยของสังคมได้ดี นอกจากที่นี่แล้ว ที่ใกล้ ๆ บ้านยังมีสวนสาธารณะอีกแห่งที่คนไปออกกำลังกายกันเยอะพอสมควร อันนั้นเป็นสวนพฤกษ์ศาสตร์ ลักษณะเป็น ต้นไม้ยืนต้น และยังเห็นอีกสถานที่หนึ่ง เมื่อตอนขึ้นรถเมล์ไป coop ก็ผ่านสนามกว้าง ๆ เป็นที่วิ่งเล่นกว้าง ๆ คนไปวิ่งออกกำลัง เหมือนกับที่อื่น
สรุปแล้ว เมืองนี้น่าอยู่ด้วยการจัดผังเมืองเป็นรัฐสวัสดิการที่ดีมาก ๆ
ขณะนี้ประมาณ ตี 2 กว่า ๆ ผมตื่นตั้งแต่เที่ยงคืนกว่า ๆ มานั่งเขียนอยู่นี้ เพราะนอนหัวค่ำประมาณ 4 ทุ่ม ก็นอนแล้ว ทีวีที่นี่ดีมาก แต่เป็นภาษาอิตาลีหมด มีภาพยนตร์หลายช่องแต่ไม่รู้เรื่อง ดูได้แต่ฟุตบอล กีฬา และภาพยนตร์ตอนดึก ๆ ที่มีสาว ๆ แก้ผ้าเขาว่าอะไรก็ฟังไม่ออกเห็นเขาแก้ผ้ากัน ก็ดูไว้ก่อน แต่ไม่ใช่เรื่องสัปดนอะไร เพียงแต่เป็นหนังเรื่องที่มีเซ็นเซอร์น้อย ที่นี่โชคดีเรื่องฟุตบอล เพราะได้ดูตามเวลาที่แข่งขันไม่ต้องตื่นมาดูตอนตี 2 – 3 ในเวลาบ้านเรา
เขียนแค่นี้ก่อนครับ ขอลองนอนต่ออีกหน่อย สวัสดีครับ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 20 วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่อยู่เป็นวันสุดท้ายที่ Modena อิตาลี วันพรุ่งนี้ จะได้ออกแต่เช้า ขึ้นรถไฟไปที่มิลาน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง แต่รอรถไฟนานเท่าไหร่ยังไม่ทราบ แล้วนั่งรถไปสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย เวลาบ่าย 2 โมง
เมื่อวานนี้ ได้ไปที่ coop อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากมีญาติส่งข่าวมาให้ซื้อของที่เขาได้อ่านมาตอนก่อน ๆ เลยอยากได้ ก็เป็นไปตามความประสงค์ ได้ซื้อของให้ญาติที่เข้าใจว่า made in Italy แล้ว ก็ถือโอกาสถ่ายรูป coop ให้เพื่อนที่เป็นอาจารย์สอนวิชาสหกรณ์ ก็พยายามถ่ายหลาย ๆ มุม จนกระทั่งมุมสุดท้าย ไปยืนริมถนน ขณะกำลังถ่ายตึก coop ที่ติดป้ายอยู่ข้างบน รถบรรทุก container คันใหญ่ วิ่งผ่านเราโดยไม่ให้สัญญาณเลย รู้สึกเสียวมาก เพราะเฉียดไปนิดเดียวเอง เฮ้อ!…เกือบเอาชีวิตมาทิ้งชั่ววินาทีเดียว หรือเป็นเพราะว่า ที่นี่ ถ้าชนคนที่เป็นฝ่ายผิด รถอาจไม่ผิดก็ได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะหมอดูบอกว่าผมอายุเกิน 80 แน่นอน เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้ว ได้ไปซื้อของที่ super market ใกล้บ้านต่อได้พบกับ cashier คนที่มีน้ำใจคุยกับเราเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ ได้ทักทาย กอดกับภรรยา (แบบฝรั่ง) อย่างสนิทสนม พอจะมีเพื่อนสักคน ก็กลับซะแล้ว นอกจากนั้น ไม่ได้มีเพื่อนคนไหนอีกเลย คนที่นี่ ไม่ค่อยทักทาย เป็นลักษณะคนในยุโรป ไม่ค่อยคุยแบบอเมริกัน ถ้าเป็นคนไทย เจอคนแปลกหน้า ถ้าสบตากัน ก็จะยิ้มทักทายไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ตอนเย็น หลังกินอาหารเสร็จ ก็ได้ไปเดินย่อยอาหาร หันเหไปทางใจกลางเมืองที่มีคนเดินมาก ๆ  อยากสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ และติ๊ด ภรรยา ก็ถือโอกาส window shopping ไปในตัว สำหรับแฟชั่นผู้ชาย รู้สึกว่า ปัจจุบัน เขานิยมนุ่งกางเกงที่ขาแคบ ๆ หรือทรงเดฟ เหมือนกับที่เมืองไทย เสื้อสูท ก็ตัวเล็กฟิตเปรี้ยะ คงขายพวกวัยรุ่น ตรงนี้เห็นว่า ระยะทางระหว่างไทยและที่นี่จะไกลกัน แต่ความนิยมทาง
แฟชั่นกลับเหมือนกัน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือโลกแคบลง สำหรับผมเอง ไม่ขอตามแฟชั่นในปัจจุบัน เพราะเสื้อผ้าที่มีอยู่ตั้งแต่ตอนทำงานก็ยังใช้ได้ และกางเกงทรงเดฟ ก็ไม่เหมาะกับผมมากนัก
อีกประการเรื่องการใช้รถ ที่ออกไปเดินตอนค่ำ ๆ แม้จะเป็นใจกลางเมือง แต่บริเวณนี้ไม่มีรถมากนัก ไม่ต้องดมควันท่อไอเสีย เป็นการเพิ่มบรรยากาศในการเดินเล่น สำหรับรถคงอยู่รอบ ๆ นอกเมือง แต่ที่นี่รถไม่หนาแน่น เพราะพลเมืองน้อย ปกติใช้รถคันเล็ก ๆ กันมาก รถทุกชนิด เช่น เบนซ์ เปอร์โย ออดี้ ฮอนด้า และโดยเฉพาะเฟี๊ยต ออกรถเล็กมาแข่งกัน เฟี๊ยตได้มีรุ่น 500 หรือคิดว่าน่าจะ 500 ซีซี ที่เห็นในท้องถนนมาก และรุ่น smart ที่มีแค่ 2 ที่นั่ง ก็เล็กมาก ๆ ซึ่งเห็น smart อยู่ประปราย สำหรับรถคันใหญ่แบบที่บ้านเรา ก็มีบ้าง ไม่มากนัก รถคันใหญ่ที่พบบ่อยและดูรูปทรงสวย คือ ฮุนได รถพวกมิซูบิชิ นิสสัน หรือโตโยต้า จะไม่ค่อยพบที่นี่ น่าจะครองตลาดที่เมืองไทย สำหรับเหตุผลหนึ่งที่ใช้รถเล็ก คือราคาน้ำมัน ลิตรละกว่า 50 บาท หรือ 1.4 – 1.5 ยูโร ต่อลิตร น้ำมันดีเซลจะถูกกว่าเบนซินเล็กน้อย สำหรับค่ารถเมล์ไป coop ขาไป 400 เซ็นต์ แต่ขากลับเสีย 430 เซ็นต์ ทั้งที่ระยะทางเท่า ๆ กัน เข้าใจเอาเองว่า ขากลับ น้ำหนักตัวจะมากขึ้น เพราะทุกคนที่ไป coop ก็ไปกินอาหารที่ coop มาเรียบร้อย จึงต้องเสียค่ารถเมล์มากขึ้น
พูดถึงมะเขือเทศ ที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเด็กไม่ชอบนัก เพราะมีรถเปรี้ยวเจือปน แต่อาหารอิตาลี โดยเฉพาะพิซซ่านี้ มีหน้ามะเขือเทศ แผ่นบางกรอบ อร่อยน่ารับประทาน พูดถึงสปาเก็ตตี้ ก็ต้องมี ซอสมะเขือเทศ และเด็ก ๆที่กิน Mc Donald ก็ต้องมีซอสมะเขือเทศเช่นเดียวกัน จะเห็นว่ามะเขือเทศเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาหาร และมีจำหน่ายทุกแห่ง มีลักษณะของผลหลายรูปแบบ มีทั้งผลใหญ่และเล็ก ผลกลมหรือยาว มีหยักที่ผลหรือเรียบ ๆ มีหมด มะเขือเทศแช่เย็นจิ้มเกลือ ก็อร่อยแบบไทย ๆ ถ้าจะซื้อมะเขือเทศที่คุณภาพดีหน่อย ที่บ้านเราอาจจะไปร้านของโครงการหลวง หรือ Golden Place ก็ได้ ปัญหาของคุณภาพ คือทิ้งไว้นาน จนผลเน่า บริโภคไม่ได้ พูดถึงมะเขือเทศ ก็อยากรายงานเพิ่มเติมให้ทราบว่า เมื่อวันก่อนที่นี่ก็ได้ทำส้มตำเหมือนกัน แม้จะไม่มีมะละกอ ก็ใช้อย่างอื่นที่แทนกันได้ อยากบอกพวกเราว่าในเมนูอาหาร ถ้าเจอมะเขือเทศอย่าเขี่ยทิ้งเลย กล้ำกลืนกินเข้าไปมีประโยชน์ โดยเฉพาะสาร Lycopene ซึ่งเป็นสาร carotene สีแดง และ carotenoid pigment และ phytochemical (ลอกมา) ทั้งนี้ ยกเว้นว่าจะเจอมะเขือเทศที่งอมเกินไป ไม่มีคุณภาพก็เสียใจ มะเขือเทศที่นี่มีบทบาทสำคัญในเมนูอาหารมาก สำหรับพิซซ่าอีกเมนูหนึ่งน่าสนใจมาก ๆ คือหน้าเห็ด ได้เคยชิมมาครั้งหนึ่ง อร่อยดี และมีคุณค่าทางอาหารด้วย สำหรับผลไม้อื่น ๆ เห็นกล้วยหอมเป็นหลัก กล้วยของ Dole วางขายมาก ราคาไม่แพง กินได้ทุกวัน แต่กินน้อย ๆ หน่อย เห็นเขาว่า โปแตสเซี่ยมสูง เป็นอันตรายกับไต นอกจากนั้น แอบเปิ้ล กิโลกรัมละ 3 ยูโรกว่า คืออย่างแพงสุด แอบเปิ้ลที่ราคาถูกกว่าจะไม่หวานกรอบเท่า องุ่นเขียวรสหวานมาก เมล็ดน้อย กิโลกรัมละ 2.99 ยูโร ลูกพีชก็กิโลกรัมละ 2 ยูโรกว่าเช่นเดียวกัน
สำหรับที่เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เกษตร คือ ศรณ์ และคณะ กำลังอยู่ที่สแกนดิเนเวีย เพิ่งกลับจาก นอร์เวย์ ที่มีพระอาทิตย์เที่ยงคืน ได้ส่งไลน์ถึงเพื่อน ๆ ว่า ที่นั่นมืดประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ เกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว และได้เห็นพระอาทิตย์ตอนประมาณเที่ยงคืนอยู่พักหนึ่ง แต่โชคไม่ดีที่ระยะนั้นเป็นช่วงที่เมฆเยอะ ซึ่งผมเข้าใจว่าคงเป็นช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมา ที่นี่ ก็มีฝนตกเหมือนกัน สำหรับที่นี่มืดประมาณเกือบ ๆ 3 ทุ่ม และตอนเช้าก็สว่างก่อน 6 โมงเช้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะโลกกลม ในช่วงฤดูร้อนโลกเอียงส่วนบนเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลก และสามารถแผ่รังสี มายังโลกทำให้เกิดอากาศร้อน ยิ่งทำให้ส่วนบนของโลกเห็นดวงอาทิตย์ยาวนาน ยิ่งเหนือยิ่งยาว เพราะโลกหมุนรอบตัวเอง และส่วนบนของโลก มีระยะรอบหมุนที่น้อยกว่า จึงเห็นพระอาทิตย์ได้นานกว่า
ขณะเดียวกันที่แผ่นดินและน้ำได้รับรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ น้ำจะถูกแผดเผาขึ้นไปเป็นความชื้นบนท้องฟ้าสะสม ยิ่งแถบบ้านเราพระอาทิตย์อยู่ใกล้โลก ยิ่งร้อนมาก ความชื้นในทะเลก็ยิ่งมีมาก ความชื้นนี้จะถูกพัดเข้าแผ่นดิน ตามหลักการลมบกลมทะเล ที่เราเรียนกันมา คือบนแผ่นดิน ตอนกลางวัน แสงแดดทำให้แผ่นดินอมความร้อนได้เร็วกว่าในมหาสมุทร อากาศที่แผ่นดินจึงลอยตัวขึ้น แล้วอากาศที่มหาสมุทร หอบเอาความชื้นลอยตัวเข้ามาแทนที่ จึงกลายเป็นลมพายุหรือลมมรสุมเข้ามาที่แผ่นดิน เราจึงเรียกฤดูร้อนของเราว่าฤดูฝน จะสังเกตว่า ลมพายุมักจะพัดจากตะวันออกมาตะวันตก หรือพัดขึ้นบนเสมอ ๆ ที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่าโลกหมุนรอบตัวเอง จากตะวันตกไปตะวันออก ก็เลยทำให้เกิดลมพัดสวนทางกัน เดาเอานะครับ ผิดหรือถูกไม่รับรอง
สำหรับในฤดูหนาว โลกเอียงด้านล่างเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดกลางวันสั้น แต่กลางคืนยาว เพราะพระอาทิตย์อยู่ไกลจากส่วนบนของโลก แต่ทางใต้คือออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ก็จะเป็นฤดูร้อน ตรงข้ามกัน ขณะที่โลกเปลี่ยนแกนหันด้านบนด้านล่างนี้ จะเกิดร่องความกดอากาศพาดผ่าน ร่องความกดอากาศคือแนวปะทะ ระหว่างความกดอากาศสูง และความกดอากาศต่ำ ความจริงร่องความกดอากาศไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน แต่โลกเคลื่อนเปลี่ยนแกนขึ้นลง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดฤดูกาลและความชื้น ทำให้เกิดลมหรือความเคลื่อนไหวในธรรมชาติ ทำให้น้ำไหล มีการหมุนเวียนของน้ำ ก็เกิดให้มีการรวมตัวของเซลล์ ทำให้เกิดสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาในโลกได้ สิ่งเหล่านี้นำที่เรียนมาในสมัยเด็ก ๆ กับที่คิดขึ้นมาเองมาประกอบกัน ยังมีที่อยากเล่าต่อ แต่เกรงว่าจะยาวเกินไป แฮ่ะ ๆ อย่าถือสาคนคิดมากเลยครับ
ขณะนี้ ตอนเช้าประมาณ 7.30 น.
ขอจบแค่นี้ก่อน แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า (ถ้ามี) ครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม

ครั้งที่ 21 วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2558 ขณะนี้เวลาตี 4 ความจริงตื่นตั้งแต่ตี 3 กว่า ๆ แล้ว ไม่กล้านอนต่อ รอเวลากลับ ซึ่งจะออกจากบ้านประมาณ 8 โมงเช้า เพื่อจับรถไฟ เวลา 8.40 ไปมิลาน
เมื่อวานนี้ วิ่งไปซื้อของให้น้อง ที่เพิ่งจะฝากซื้อมาทางไลน์ เป็นที่เรียบร้อย และได้เดินดูของ window shopping ไปเรื่อย ๆ ตอนบ่าย ได้ใช้เวลาจัดบ้านให้ลูกนิดหน่อย แล้วทำอาหารเย็นกินกัน หลังกินข้าว ผมได้ออกไปยืนดูสนามกว้า ๆ ที่พักผ่อนออกกำลังกายของคนเมืองนี้ ที่เคยมาเดินให้ติดตา เพราะจะไม่ได้มาเดินอีก และแล้ว กลับมาชวนติ๊ด ภรรยาไปเดินในเมือง ดูสถานที่สำคัญ ๆ ให้จดจำไว้ อย่างน้อยเราก็ได้มาใช้ชีวิตที่นี่ระยะสั้น ๆ แต่ได้รับความสันโดษ อิสระ มีความสงบเงียบ ดูคนแปลกหน้า ตั้งแต่เด็กแบเบาะ ไปถึงวัยรุ่น คู่รัก ครอบครัว และผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งหมดนี้อยู่ในเวทีเมือง Modena ที่ม่านตาเราเป็นตัวจัดฉาก สำหรับสถานที่สำคัญ ๆ ได้ไปหยุดยืนดูโบสถ์ให้นาน ๆ โบสถ์นี้ คิดว่าเป็นหลักของเมือง และเป็น Land Mark ของเรา เวลาไปไหนตอนที่มาใหม่ ๆ ก็ดูยอดโบสถ์ เพื่อจะได้เดินมาที่จุดนี้ จะได้กลับบ้านตรงทาง โบสถ์นี้เป็นโบสถ์เก่าสร้างมาแล้ว หลายร้อยปี หรือน่าจะเกิน 500 ปี มียอดหอคอยด้านบนแหลม ๆ สูงมาก เห็นมีคนมาเที่ยวชมโบสถ์นี้ เป็นกลุ่ม หรือรายตัวทุก ๆ วัน เราเดินอย่างช้า ๆ ให้ซึมซับความทรงจำของบรรยากาศ ถึง 3 ทุ่มกว่า ๆ ก็เริ่มมืด ผู้คนก็เริ่มทยอยกลับบ้านกัน ยกเว้นร้านอาหารหรือบาร์เครื่องดื่มที่มีอาหารขาย ที่ตั้งโต๊ะออกมานอกร้าน ซึ่ง
มีอยู่ถนนหนึ่งมี ร้านอาหารเครื่องดื่มตั้งเรียงรายกันเต็ม และคนมานั่งกันเต็มทุกคืน คงอร่อย เหลือบตาดูบนโต๊ะอาหาร ไม่ค่อยมีแอลกอฮอล์ เป็นเครื่องดื่มที่เป็นแก้ว ๆ น้ำสีชมพูอ่อน ๆ และที่มีหลากชนิด หรือเขาไม่ได้เป็นขี้เมากัน จะนั่งคุยกันมากกว่า ซึ่งร้านอาหารที่นี่ ไม่ต้องห่วงเรื่องรถยนต์วิ่งผ่าน เพราะใจกลางเมืองมีแต่คนเดินและจักรยาน รถยนต์จอดหมด หรือวิ่งอยู่เส้นรอบ ๆ เมือง สำหรับร้านขายของบางร้านจะปิดประมาณ 1 ทุ่ม และบางร้านปิดประมาณ 2 ทุ่ม ในเวลานี้ คนเดินยังมีทยอย ๆ ไป และจักรยานก็ขี่กันผ่านไปเรื่อย ๆ เป็นช่วง ละคันหรือ 4 – 5 คันไม่แน่น แต่ก็มีจักรยานผ่านตลอดเวลา
ข้อดีของที่นี่ ขอบันทึกไว้ คือเมืองไม่หนาแน่น รถน้อย บ้านเป็นรูปแบบเก่า ๆ ตึกข้างในเมืองคิดว่า เป็นห้องให้เช่า ข้างนอกเมืองมีบ้านเป็นหลัง ๆ อยู่รอบ ๆ ที่นี่ไม่มียุง ชาวบ้านคงไม่รู้จักยุง มีแต่แมลงวัน เห็นแมลงวันที่บ้านอยู่ตัวหนึ่ง เมื่อตอนมาใหม่ ๆ แมลงหวี่ก็คงมีในถังขยะ แต่ก็ไม่ได้เห็นถังขยะสาธารณะ ขนาดใหญ่ เป็นถังเหล็กหนักมาก ยกไม่ไหว แต่ละถัง มีรูปว่าให้ทิ้งขยะอะไรบ้าง คือ ขยะ re-cycle (เศษอาหาร) ถังหนึ่ง พวกถุง ภาชนะพลาสติกอีกถังหนึ่ง และสุดท้ายคือ อีเล็กทรอนิกส์ แยกถังกัน แต่ละแห่งดูสะอาดตา ไม่มีขยะที่กองอยู่ภายนอกถัง ไม่มีเศษขยะหกเลอะเทอะภายนอก ยกเว้นขี้หมามีบ้าง คนชอบเดินจูงหมาให้มันออกกำลังกัน และที่มีพลเมืองที่ดี มีวินัยนี้ ทำให้ไม่มีคนเกเร แม้วัยรุ่นจะจับกลุ่มคุยกันสนุกสนาน หรือเดินเที่ยว แต่ไม่ได้ยุ่งกับใคร มีขอทานอยู่ 2 – 3 คน เป็นพวกไร้อาชีพ หรือยิบซี นั่งขอกันเงียบ ๆ และที่มีสีไวโอลิน เพื่อแลกสตางค์ริมถนนก็มีอยู่คนหนึ่ง เป็นสาวน่ารักดี เลยหยอดเหรียญไปสักหน่อย ทำทานที่นี่เผื่อได้กลับมาอีกสำหรับหลานสาวคนนี้ไม่ว่าชาติไหนก็ได้
สำหรับข้อเสียคือเรื่องน้ำที่นี่เป็นน้ำที่อาบแล้วเหนียว ๆ แต่ก็ดื่มได้แบบทุกแห่งในยุโรป (ทั้ง ๆ ที่พอทิ้งไว้นาน ๆ จะมีขี้ตะกรัน เลยให้ลูกซื้อเหยือกสำหรับกรองน้ำ 1 เหยือก) เข้าใจว่าน้ำใช้นี้เป็นน้ำที่ซึมซับอยู่ใต้ดิน เพราะที่ผ่านมาไม่เห็นแม่น้ำลำคลองแถวนี้ เลยคิดเอาเองว่าเป็นน้ำใต้ดิน แต่อย่างไรก็ตาม น้ำไม่ว่ามาจากไหน ก็คงเป็นน้ำฟ้า (precipitation) ในที่นี้คือหิมะ ยิ่งตกเยอะยิ่งดี หนาวหน่อย แต่หิมะละลายก็กลายเป็นน้ำ แต่หิมะมาจากไหน ก็ต้องคิดแบบกำปั้นทุบดินว่า มีลมหอบเอาความชื้นจากมหาสมุทร มาที่แผ่นดิน นั้น อาจจะเป็นความชื้นสะสมแผ่ขยายไปกว้าง และบรรยากาศข้างบนที่หุ้มห่อโลก ก็น่าจะมีลมบนอยู่ในบรรยากาศเหมือนกัน ตามอุณหภูมิความร้อนเย็นที่ต่ำที่สูงในบรรยากาศที่แตกต่างกัน ลมบนบรรยากาศชั้นบนนี้ อาจเป็นตัวกระจายความชื้นให้ไปทั่ว ๆ ฉะนั้น ที่ไหนดูแห้งแล้ง ไม่มีแหล่งน้ำข้างล่าง เช่น แถบภูเขาสูง ๆ แต่ยังมีหิมะ เพราะลมบนบรรยากาศพามานั่นเอง (คิดเอง ผิดถูกไม่รับรอง)
การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้ไปเที่ยวทุกวัน ไปเฉพาะที่ลูกวางแผนไว้ นอกจากนั้น ก็เป็นการใช้ชีวิตปกติ ณ สถานที่ ๆ ลูกมีชีวิตประจำวัน เราได้เดินเที่ยว ซื้อกับข้าวมาทำกิน เย็น ๆ ไปเดินออกกำลัง ดูปกติสุข สันโดษ และมีสิ่งแวดล้อมที่สบาย ๆ น่าอยู่มากๆ คิดว่า การที่ลูกได้มาอยู่ที่นี่ เป็นโอกาสและประสบการณ์ที่ดีของเขาในระยะเวลาหนึ่ง อยากให้เขาได้อยู่นาน ๆ
(เขียนต่อบนเครื่องบินขากลับ)
เป็นช่วงที่น่าจดจำ ที่คนแก่ อายุ 70 จะหอบหิ้วของหนัก ๆ ขึ้นเครื่องบิน แล้วนั่งรถ shutter ไปสถานีรถไฟ แล้วแบกกระเป๋าขึ้นรถไฟ ไปสู่เมืองที่อยู่ เดินลากกระเป๋าในระยะทางไกล ๆ และขากลับก็ทำเช่นเดียวกัน ต้องขอบอกว่าหนักเอาการ แต่ก็คุ้มกับประสบการณ์ และความประทับใจที่ได้ ขณะนี้ นั่งอยู่บนเครื่องบิน TG ของเราแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะกลับไปสู่ชีวิตปกติ
(เขียนที่บ้าน)
เราได้ออกจากประเทศไทย โดยไม่รู้ว่าระบบตรวจคนออกและเข้าเมืองเปลี่ยนไป สะดวกกว่าที่เคยปฏิบัติแต่ก่อนมาก แต่ก็ต้องกรอกเอกสารขาออกและขาเข้าเหมือนเดิม ผิดกับที่มิลาน ไม่ต้องกรอกเอกสารเลย เพียงแต่เดินผ่านให้เขาประทับตราทั้งเข้าและออกก็เรียบร้อย ดูง่ายและเร็ว ไม่มีต่อแถว และไม่เคร่งครัดเรื่อง ตรวจสัมภาระ ผ่านอย่างสบาย แต่ตอนที่ทำวีซ่านี้ยากหน่อย ต้องเตรียมเอกสารและปรับปรุงเอกสาร
ที่ทำวีซ่าหลายครั้ง และไปจ้างเขาแปลเอกสารเพื่อรับรองข้อมูลก็อีกหลายครั้ง จึงจะผ่านได้ ซึ่งเขาออกวีซ่าให้เท่ากับเวลาที่เราทำประกันชีวิตและสุขภาพในการเดินทางเท่านั้น วันนี้กลับมาที่สุวรรณภูมิ เมื่อเดินออกจากเครื่องบินแล้ว เดินไปผิดทาง ไปทางที่เขาให้เปลี่ยนเครื่อง ความจริงต้องไปทางตรงข้าม ทั้งนี้ เพราะไม่เห็นป้าย และมีคนเดินนำไปทางนั้น เสียเวลาที่ไปตั้งไกล สอบถามเขาแล้วจึงเดินย้อนกลับมา เรื่องความเด๋อด๋าเป็นเรื่องปกติของผมเอง สำหรับการเข้าแถวเรียกแท๊กซี่ก็สะดวกขึ้น ตอนนี้แค่แตะที่มิเตอร์ ที่ตั้งไว้ก็มีสลิปออกมา เมืองไทยเราก็ทันสมัยขึ้นเหมือนกัน
ที่พยายามเขียนมาจนจบเป็นครั้งที่ 21 นี้ ก็เพราะประทับใจในสิ่งที่พบเห็น และอยากแชร์ประสบการณ์ ให้กับผู้อ่าน เนื่องจาก อยากบอกให้ทราบว่า ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ผู้อ่านทุก ๆ คนมีความสำคัญต่อผม เสมอ ๆ จบแล้วครับ
จาก บู๊ คนเคยหนุ่ม

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *