ปรัชญาการเมืองอิสลาม ตอนที่ 4

ปรัชญาการเมืองอิสลาม ตอนที่ 4
:นักปรัชญามุสลิมกับแนวคิดทางปรัชญาการเมือง
อบูนัศร์ อัล-ฟารอบี 1
ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
อาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ วทส.
การศึกษากรอบแนวคิดหรือหลักคิดของบุคคลผู้เป็นปราชญ์ ไม่ว่าอยู่ในฐานะใด จะเป็นศาสดา หรือผู้นำลัทธิทางศาสนา หรือ นักปรัชญา ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากมายทีเดียว โดยจะยังประโยชน์ทั้งส่วนปัจเจกบุคคลและทางสังคม และมนุษย์ในยุคหลัง หรือสมัยต่อมานั้นจะได้นำคำสอนหรือหลักคิดมาเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านจิตวิญญาณ ด้านการเมืองและด้านวัฒนธรรมและด้านอื่นๆ ดังนั้นการศึกษาหลักคิดและปรัชญาทางการเมืองการปกครองของอิสลามตามมุมมองของนักปรัชญามุสลิมถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการมองการเมืองผ่านมุมมองของนักปรัชญา ซึ่งเรียกว่า “ปรัชญาการเมือง” เป็นเนื้อหาที่น่าสืบค้นและน่าสนในในยุคปัจจุบัน และเป็นเพราะว่าปรัชญาการเมือง ไม่ใช่ความคิดทางการเมืองโดยทั่วๆไป แต่ทว่าปรัชญาการเมืองคือการสืบค้นหาความจริงตามธรรมชาติบริสุทธิ์ของการปกครองและเป็นหลักการเมืองที่จะดำรงอยู่ควบคู่ไปกับชีวิตทางการเมือง เป็นการมองถึงการให้ชีวิตต่อการเมืองการปกครอง ดังนั้นจึงมีบางคนกล่าวว่า ปรัชญาการเมืองถือกำเนิดมาภายในขอบเขตของชีวิตทางการเมืองและผ่านกระบวนทางปรัชญาและหลักมุมมองทางอภิปรัชญา ดังที่ปรากฏหลักฐานของการกำเนิดปรัชญาการเมืองยุคกรีกโบราณ ผ่านกรอบความคิดและหลักคิดเชิงการเมืองการปกครองของ โซคราติส และผ่านงานเขียนของเพลโตและอริสโตเติล นับว่าเป็นผลงานทางปรัชญาการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด(ประวัติปรัชญาการเมือง เล่ม ๑ หน้า ๒-๓)
สำนักปรัชญามัชชาอียะฮถือว่าเป็นสำนักแรกของปรัชญาในโลกอิสลาม ได้เริ่มการก่อตัวโดยอัลกินดีย์เป็นผู้ริเริ่ม และต่อได้พัฒนาทางด้านแนวคิดทางปรัชญามากขึ้นและมีรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น โดยการชี้นำและงานเขียนของอัลฟารอบี ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้สำนักปรัชญาสำนักนี้มีความรุ่งเรือง จนมาถึงยุคของอิบบุ สีน่า ถือว่าเป็นยุคเจริญที่สุดของปรัชญาสำนักมัชชาอียะฮ์ เพราะว่าตำราปรัชญาของสำนักนี้ได้ถูกเขียนขึ้นอย่างเป็นระบบ และถูกนำเสนออย่างชัดเจนและถูกจัดทำอย่างเป็นหมวดหมู่ และมีตำราถูกเขียนมากมายที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และหลังจากนั้นได้รุ่งเรือนขยายตัวใหลบ่าสู่โลกตะวันตก โดยการเผยแพร่ของอิบนุมัสกุวัย อิบนุบาญะฮ และอิบนุรุชด์ และหลังจากนั้นได้เผยแพร่และขยายความสนอกสนใจในโลกอะหรับและโลกอิสลามชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น คอญะฮ์นะซีรุดดีน ตูซีย์ได้นำแนวทางของสำนักปรัชญามัชชาอียะฮ์มาเผยแพร่จนกระทั้งเป็นสำนักยิ่งใหญ่ทางปรัชญาอิสลามและถูกรู้จักไปทั่วมุมโลกเลยทีเดียว
อบูนัศร์ ฟารอบี ได้เกิดในปีคริสตศักราชที่ ๘๗๐ เขานั้นแตกต่างกับนักปราชญ์คนอื่นๆ ซึ่งชีวประวัติของเขานั้นไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพราะสานุศิษย์ของเขาเองก็ไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับชีวะประวัติของเขาไว้เลย มีเพียงอิบนุคอลาค่านที่ได้นำเรื่องราวและประวัติของอัลฟารอบีกล่าวไว้ แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งในประวัติศาสตร์นั้นอยู่อีกหลายประเด็น
อัลฟารอบีได้กำเนิด ณ เมืองเล็กๆในแคว้นฟาร๊อบ และถือว่าเขาเป็นชาวเติร์ก และด้วยกับการขยายอำนาจอาณาจักรอิสลามมาถึงเมืองฟารอบ ทำให้วัฒนธรรมอิสลามเข้ามามีบทบาทต่อชาวเติร์กมากทีเดียว ดังนั้นจะพบว่ามีปราชญ์ ผู้รู้ที่มีชื่อเสียงหลายคนของมุสลิมอยู่ในสมัยของฟารอบี เช่น ยูฮารีย์ นักภาษาศาสตร์คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงของโลกอิสลาม
อัลฟารอบีย์ได้เติบมาจากการเลี้ยงดูในแวดวงของนักการศาสนาและเขาได้เรียนรู้ภาควิชาศาสนาและด้านภาษาอาหรับได้อย่างดี เช่นวิชาฟิกฮ์ (นิติศาสตร์อิสลาม) วิชาด้านฮะดีษ วิชาด้านตัฟซีร(อรรถาธิบายอัลกุรอาน) และฟารอบีย์ยังได้เรียนภาษาอาหรับ ภาษาตุรกี และภาษาเปอร์เซียอีกด้วยโดยมีความชำนาญทั้งสามภาษา และจากการบันทึกของอิบนุคอลาค่านว่า แท้จริงฟารอบีมีความชำนาญภาษาต่างประเทศมากถึง ๗๐ ภาษา แต่นักวิชาการยุคหลังได้วิเคราะห์และโต้แย้งว่า เป็นการกล่าวยกย่องท่านฟารอบีจนเกินไป
อัลฟารอบีย์ มีความนิยมในศาสตร์ด้านตรรกะและการอ้างเหตุผลเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ทำให้เขามีความชำนาญต่อศาสตร์ปรัชญาและตรรกศาสตร์เป็นอย่างดี และต่อมาฟารอบีได้เดินทางไปยังเมืองแบกแดดประเทศอิรัก และเขาได้ศึกษาวิชาการด้านตรรกศาสตร์และด้านปรัชญาจนทำให้เขาได้รู้จักกับนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาระดับสูงของโลกอิสลามมากมาย และทำให้อัลฟารอบีย์มีความเชี่ยวชาญและชำนาญการในศาสตร์ปรัชญาและตรรกศาสตร์ จึงได้มีฉายาว่า”บรมครูคนที่สอง” ฟารอบีได้ใช้ชีวิตในเมืองแบกแดดมากกว่ายี่สิบเลยทีเดียว จนเป็นที่โด่งดังและรู้จักไปทั่วโลกอาหรับและไม่ใช่อาหรับ
ผลงานทางด้านวิชาการของฟารอบี
อัลฟารอบีมีผลงานด้านการประพันธ์และงานเขียนมากมาย และส่วนมากตำราของเขานั้นเกี่ยวกับปรัชญา ตรรกศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา และจริยศาสตร์ ดังบางตัวอย่างจากตำรา ได้แก่
๑)คำอรรถาธิบายตรรกศาสตร์ของอริสโตเติล
๒)ฟุซุซุลอิกมะฮ เป็นศาสตร์ปรัชญาอิสลาม
๓)และตำราอื่นๆเป็นต้นฉบับเขียนด้วยลายมือของฟารอบีเอง และบางเล่มก็สูญหาย ไม่มีร่องรอยใดๆ
๔) รีซาละฮ ฟีมา อันยะตะกัดดัม กอ็บล่า ตะอัลละมุลฟัลซะฟะฮ เป็นความเรียงเกี่ยวกับเนื้อหาวิธีการและการเตรียมตัวก่อนจะเรียนปรัชญา
แนวคิดทางปรัชญาของอัลฟารอบีย์
แนวคิดทางปรัชญาของอัลฟารอบีย์ เป็นรูปแบบที่ค่อนข้างจะกระจ่างชัดและง่ายต่อความเข้าใจ และในตำราปรัชญาของเขานั้น บางตอนได้หยิบยกทัศนะของนักปรัชญากรีกโบราณมาอ้างอิง บางตอนได้โต้ตอบและวิพากษ์ทัศนะเหล่านั้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเขานั้นมีความชำนาญการต่อศาสตร์ปรัชญาเป็นอย่างดี
อัลฟารอบีกับตรรกศาสตร์
อัลฟารอบีได้นิยมต่อตรรกศาสตร์และมีตำราเล่มหนึ่งของเขา ได้อรรถาธิบายหลักการของตรรกศาสตร์อริสโตเติลอย่างละเอียดและน่าสนใจยิ่ง อัลฟารอบีถือว่าวิชาตรรกศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญช่วยให้เข้าใจเนื้อหาทางปรัชญาได้อย่างดีเยี่ยม ฟารอบีกล่าวว่า…”ตรรกศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญของการใช้ความคิด และถ้าใครได้ยึดมั่นต่อกฎระเบียบของตรรกศาสตร์แล้ว เขาจะปราศจากความผิดพลาดในการการคิดนั้น”
อัลฟารอบีถือว่า ความสำพันธ์ระหว่างตรรกะกับปรัชญาเป็นความสำคัญเหมือนกับกฏไวยกรณ์อาหรับกับวิชาภาษาอาหรับ ดังนั้นในตำราปรัชญาของฟารอบีจะเต็มไปด้วยสูตรและวิธีคิดแบบตรรกะปะปนอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง
เป้าหมายปรัชญาในมุมมองอัลฟารอบี
อัลฟารอบีถือว่าปรัชญามีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือมุ่งการสืบค้นหาความจริงแท้ และสืบค้นหาภวันต์แท้และภวันต์จำเป็น ดังนั้นสำนักปรัชญาที่เกิดขึ้นมากมายทั้งยุคก่อนและยุคต่อมา มีความแตกต่างกันแค่ในภายนอกและการใช้ภาษาการอรรถธิบายเท่านั้น แต่ทว่ามีจุดมุ่งหมายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และในทัศนะของฟารอบี ถือว่าปรัชญามีเพียงสำนักเดียว และไม่ว่าในการอรรถาธิบายของสำนักปรัชญาของอริสโตเติลหรือสำนักปรัชญาของเพลโตจะมีความแตกต่าง แต่ความเป็นจริงคือสิ่งเดียวกัน
ทัศนะของฟารอบีในเรื่องคำสอนศาสนากับคำสอนทางปรัชญามีความแตกต่างกันแค่เพียงภายนอกและภาษาในการนำเสนอเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงทั้งปรัชญาและศาสนาได้สนับสนุนและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน จากทัศนะของฟารอบีที่ได้นำเสนอ เพื่อต้องการจะลบล้างแนวคิดที่กล่าวหาต่อปรัชญาว่าเป็นศาสตร์ที่ขัดแย้งกับศาสนา จนทำให้นักการศาสนามีทัศนะคติที่ไม่ดีกับนักปรัชญา
สาเหตุสำคัญของการปรากฏความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับปรัชญาที่ฟารอบีได้นำเสนอ นั่นก็คือ
๑)เนื่องจากอัลฟารอบีได้นำทรรศนะใหม่ๆและหลักคิดปรัชญาที่กระจ่างขึ้นกว่ายุคก่อนๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาของศาสนา
๒)การอรรถาธิบายเนื้อหาศาสนาหรือหลักการทางศาสนาในรูปของตรรกะและมีเหตุมีผลมากขึ้น
อัลฟารอบีกับเรื่องศาสดา
อัลารอบีได้นำหลักปรัชญามาสนับสนุนต่อคำสอนของบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้า และเชื่อว่าศาสดาคือผู้ที่ได้รับความโปรดปรานทางด้านจิตวิญญาณขั้นสูงในการติดต่อกับพระเจ้า และฟารอบีได้ให้เกียรติต่อบรรดาศาสดา ยกย่องบรรดาศาสดาว่าเป็นบุคคลแห่งพระเจ้า และได้พยายามจะนำทฤษฎีทางปรัชญามาอธิบายคำสอนของบรรดาศาสดาให้มีความสอดคล้องกับหลักคิดทางปรัชญา และฟารอบีได้พยายามจะนำปรัชญาการส่งบรรดาศาสดาว่าเป็นความจำเป็นหนึ่งของสังคม และเขาถือว่าการมีศาสดาคือการนำสังคมไปสู่สังคมอารยะ โดยที่เขาได้นำเสนอเกี่ยวกับสังคมและการเมืองในมุมมองปรัชญา ซึ่งมีความสอดคล้องกับคำสอนทางศาสนาในหนังสือ”มะดีนะตุลฟาฎีละฮ” โดยได้นำเสนอทฤษฎีทางปรัชญาการเมืองว่า สังคมจะเป็นเกิดสันติสุขและความสงบสุขได้นั้นต้องผ่านการชี้นำของผู้นำ ซึ่งผู้นำนั้นต้องมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ทางด้านจิตวิญญาณ นั่นก็คือสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ นั่นก็คือบรรดาศาสดานั่นเอง.
อัลฟารอบีกับปรัชญาการเมือง
อัล-ฟารอบีย์ ถือว่าเป็นนักปรัชญามุสลิมที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งของโลกอิสลาม เขาได้นำเสนอเกี่ยวกับปรัชญาการเมืองว่า แท้จริงมนุษย์นั้นต้องพัฒนาไปสู่ความเป็นสังคมอารยะ ซึ่งเป็นสังคมที่ถูกปกครองโดยผู้นำที่ได้นำหลักการปกครองมาจากวิวรณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า และมนุษย์จะไปสู่ความเป็อารยะบุคคลและสังคมอารยะได้นั้นต้องได้รับการปกครองโดยผู้นำที่ทรงธรรมและมีความยุติธรรม อัลฟารอบียฺได้นำทฤษฎีทางปรัชญาการเมืองดังนี้ว่า..
๑)เป้าหมายของการสร้างมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ไปสู่ความไพบูลย์พูนสุข และอันดับแรกจะต้องเข้าใจและรู้จักความหมายของคำว่าความไพบูลย์สุกหรือความผาสุขเสียก่อน ความไพบูลย์สุขและความผาสุกที่ว่านั้นไมมีใครจะนิยามและให้ความหมายได้อย่างถูกต้องและเข้าใจได้ดี นอกจากเขานั้นต้องผ่านองค์ความรู้ที่ได้รับการเปิดเผยมาจากพระเจ้า และผู้ที่จะสร้างความไพบูลย์สุขและความผาสุกในสังคม คือ บุคคลที่อยู่ในฐานะผู้นำและมีภาวะผู้นำ
๒)สังคมใดหรือนครรัฐใดที่มีผู้นำทรงธรรมและมีภาวะผู้นำสูง จะทำให้สังคมนั้นหรือนครรัฐนั้นเป็นนครรัฐแห่งอารยะ(Civil of City)และสังคมอารยะ(Civil of Society)
๓) แท้จริงนครรัฐแห่งอารยะ(Civil of City) ต้องมีผู้นำ หรือผู้ปกครองนั้นต้องมีภาวะผู้นำอย่างผู้ภาวะยำเกรงและภาวะสำรวมตน มาจากบุคคลที่เป็นปราชญ์และผู้ทรงธรรม อยู่ในฐานะปราชญ์ และอัล-ฟารอบีได้กล่าวอีกว่า แท้จริง”นครแห่งอารยะ”(Civil of City) ประกอบด้วย
หนึ่ง ผู้นำที่ทรงธรรม ทรงความรู้ ทรงเป็นปราชญ์
สอง ประชาชน เป็นกลุ่มชนที่มีศิลธรรม
สาม เป็นระบอบการเมืองที่ใสสะอาด โดยผ่านองค์ความรู้ที่มาจากวิวรณ์แห่งพระเจ้า มีความสมบูรณ์ทางกายภาพและจิตภาพ โดยเน้นความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า โดยใช้หลักนิติรัฐนิติธรรมผ่านกระบวนการคิดเชิงปรัชญาและวิวรณ์และผ่านคำสอนหลักการปกครองของตัวแทนของพระเจ้า
บทบาทอันโด่งดังของฟารอบีย์คือการนำเสนอปรัชญาเรื่องอุตมรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นคำสอนที่แหลมคมและน่าสนใจทีเดียว และนักปรัชญาในยุคต่อมาได้นำทฤษฎีทางปรัชญาการเมืองนี้มาอรรถาธิบายและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง”นครแห่งอารยะ”หรืออุตมรัฐที่ฟารอบีย์ได้กล่าวไว้
อัลฟารอบีย์ได้กล่าวเรื่องปรัชญาการเมืองนี้ไว้ในหนังสือปรัชญาสำคัญของท่านชื่อว่า” ซียาซะตุลมะดีนะฮ”(หลักรัฐศาสตร์แห่งอุตมรัฐ) อัลฟารอบีย์ได้กล่าวถึงเรื่อง”นครแห่งอารยะ” (المدينة الفاضلة) หรืออุตมรัฐในปรัชญาการเมืองของท่านไว้ว่า
“ระบอบการเมืองที่มีคุณธรรมคือ การนำพาความดีงามและคุณธรรมไปสู่ประชาชนและนำมนุษยชาติสู่เป้าหมายของการรังสรรค์สร้างคือความสันติสุขที่แท้จริง นั่นคือการไปสู่ความผาสุกและสันติสุขอย่างแท้จริง และความผาสุกนั้นจะเกิดขึ้นมาเองมิได้ นอกจากต้องผ่านระบอบการเมืองและการปกครองที่มีคุณธรรม(ธรรมารัฐ)เท่านั้น อีกทั้งจะนำพาพลเมือง ประชาชนไปสู่ความดีงามทั้งโลกนี้และโลกหน้าและมีความสงบสุขทั้งภายในและภายนอก(คือทั้งทางจิตและทางกาย)”
อัลฟารอบีย์ได้หยิบยกเรื่องอุตมรัฐเป็นหัวข้อย่อยหนึ่งในหมวดเรื่องตำแหน่งศาสดาและการสร้างเอกภพและมนุษย์ โดยเขาได้นำหลักปรัชญาว่าด้วยเรื่องผู้นำทางจิตวิญญาณมาสร้างทฤษฎีว่าด้วยปรัชญาการเมืองที่แหลมคม เพราะจากแนวคิดและหลักคิดในเรื่องการสร้างโลกและมนุษย์ ถือเป็นความจำเป็นที่โลกและเอกภพจะต้องวิวัฒนาการและก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณ นั่นหมายความว่าทางกายภาพและชีวภาพเป็นโครงสร้างของโลกและของเอกภพนี้ที่จะต้องพัฒนาตัวตนของมันไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุด เพื่อแสดงออกถึงการปรากฏความเดชานุภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือเรียกตามภาษาหลักอภิปรัชญาคือ วายิบุลวุยูด”(ภวันต์แท้)และจะต้องแสดงออกถึงความสมบูรณ์เป็นตัวตนของวัตถุธาตุและสสารที่อยู่ในฐานะ มุมกินุลวุยูด(ภวันต์ใหม่) แล้วประจักษ์ในความภาวะสัมบูรณ์สูงสุดของภวันต์แท้ และเข้าถึงภาวะความพึ่งพาของภวันต์ใหม่
ส่วนทางจิตวิญญาณกล่าวคือมนุษย์ต้องไปสู่ความสมบูรณ์แบบ และแบบของมนุษย์คือสัตว์สังคม ดังนั้นสังคมคือตัวแปรที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ในแบบองค์รวม แต่สังคมที่ว่านั้นเป็นสังคมที่ผ่านการชี้นำโดยปราชญ์ และประชาชนเป็นผู้ตามที่มีคุณธรรมและผ่านระบอบการปกครองและการเมืองที่มีธรรมะ โดยปราชญ์เป็นผู้กำหนดหลักนิติรัฐที่สอดคล้องกับตัวตนของความเป็นมนุษย์ แล้วทั้งสององค์ประกอบทั้งผู้นำและผู้ตามจะขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นอตมรัฐ รัฐที่สมบูรณ์ รัฐที่เต็มไปด้วยความไพพูลย์ รัฐที่มีแต่ความสวยงามโดยการจัดตั้งรัฐและการปกครองของปราชญ์ที่ทรงธรรม
ทัศนะของฟารอบีย์ในเรื่องอุตมรัฐ เขามีความเชื่อว่าผู้นำรัฐในอุดมคติและผู้สร้างรัฐแห่งความสมบูรณ์ขึ้นมาได้นั้นคือผู้อยู่ในตำแหน่งของตัวแทนพระเจ้า คือเป็นศาสดา เป็นผู้นำ(อิมาม) และปวงปราชญ์ที่ทรงธรรม(ฟากีย์อัลอาดิล) ซึ่งแนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอัลฟารอบีนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลักปรัชญาการเมืองของเพลโต และผ่านกรอบแนวคิดทางหลักคิดของอิสลามในเรื่องการเมืองการปกครอง







