ข้อคิดจากประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน(1): เรื่องราวของก่วนจ้ง(管仲)

ข้อคิดจากประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน(1): เรื่องราวของก่วนจ้ง(管仲)
โดย รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย
คำนำชุดบทความ
ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี นอกจากหนังสือ บทความ และสารคดี ที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีพงษาวดารที่เล่านิทานประวัติศาสตร์จำนวนมาก อ่านประวัติศาสตร์และพงษาวดารจีน นอกจากรับความบันเทิงแล้ว ยังได้ข้อคิดบางอย่างที่เป็นประโยชน์
ต่อไป บล็อกวัฒนธรรมจีนนี้ จะมีบทความชุด “ ข้อคิดที่ได้มาจาก ประวัติศาสตร์และพงษาวดารจีน ในแต่ละบทความ จะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ต่อด้วยข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ บทความชุดนี้ จะไม่เรียงลำดับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เลือกเรื่องที่น่าสนใจ และที่ให้บทเรียน หรือข้อคิดบางอย่างได้ ในบางครั้ง อาจผนวกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยต่างๆในบทความเดียว หากให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน แต่ละบทความ ไม่มีการอ้างอิงตามหลักวิชาการ และอาจมีข้อผิดพลาด หรือขัดกับความจริงบ้าง แต่ส่วนใหญ่ ได้มาจากการอ่านประวัติศาสตร์ได้พงษาวดาร ไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ขอเพียงแต่เป็นเรื่องราวน่าสนใจ และเป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดแก่เราได้เท่านั้น ถ้ามีข้อผิดพลาดใดๆ ผู้อ่านโปรดให้อภัยด้วย
1. เรื่องราวของกวงจ้ง(管仲)
ก่วนจ้ง(管仲)เป็นอัครเสนาบดีของรัฐฉี(齐)ในยุคชุนชิว(春秋) ในราชวงศ์โจวตะวันออก(东周)(770-476 ปีก่อนคริสตกาล) ก่วนจ้งเกิดในปี 725 เสียชีวิตปี 645 ก่อนคริสตกาล เมื่อเขามีอายุ 80 ปี เขาเป็นอัครเสนาบดีของรัฐฉีเมื่อมีอายุ 40 ปี ใน 40 ปีที่มีอำนาจ เขาได้สร้างผลงานจำนวนมาก จนรัฐฉีก้าวขึ้นเป็นรัฐมหาอำนาจ เป็นที่เกรงขามของรัฐต่างๆในยุคนั้น
ก่อนก่วนจ้งเสียชีวิต เขาเตือนกษัตริย์ฉีหวนกง(齐桓公)ว่า หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว กษัตริย์(ที่ถูกควรเรียกว่า“ผู้ครองรัฐ” เพราะสมัยนั้นมีกษัตริย์ราชวงศ์โจวที่เป็นกตริย์ร่วมของทุกรัฐ แต่ในที่นี้ เรียกผู้ครองรัฐที่มีอำนาจผู้ปกครองรัฐสูงสุดว่า“กษัตริย์”) ต้องไม่มอบอำนาจให้แก่ขุนนางไม่ดีสามคน ที่ประจบสอพลอ และเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง โดยไม่สนใจใยดีความทุกข์สุขของประชาชน ซึ่งฉีหวนกงก็รับฟัง แต่หลังจากปลดสามคนนี้ออกไปได้ระยะหนึ่งแล้วก็แต่งตั้งพวกเขากลับมาเป็นขุนนางอีก ต่อมา เมื่อฉีหวนกงป่วยหนัก ขุนนางสามคนนี้ สนใจแต่เรื่องให้การสนับสนุนคนเป็นพวกตนขึ้นมาเป็นกษัตริย์ต่อจากฉีหวนกงไม่ดูแลฉีหวนกง ปล่อยให้เขานอนบนเตียงอยู่คนเดียวโดยไม่มีคนดูแล จนฉีหวนกงเสียชีวิตไปหลายวัน ศพที่เน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นออกมา จึงมีคนรู้ว่ากษัตริย์เสียชีวิตแล้ว ฉีหวนกงเชื่อก่วนจ้งตลอดชีวิต แต่ไม่ได้ทำตามคำแนะนำก่วนจ้งก่อนสิ้นใจ จนต้องเสียชีวิตไปอย่างอนาถ
ก่วนจ้งเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถรอบด้าน มีความรู้ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทหาร การทูต และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง คนสมัยหลังยกย่องก่วนจ้งว่า เป็นรัฐบุรุษที่สร้างผลงานมห้แก่รัฐฉีมาก และมีหนังสือสรุปความคิดของเขาที่มีคนอ่านจนถึงปัจจุบัน แต่ก่อนที่จะเป็นอัครเสนาบดี ก่วนจ้ง แม้เป็นคนมีความรู้ความสามารถมากและความปราดเปรื่องของเขา ก็เป็นที่รู้กันดี แต่ชีวิตการงานของเขาไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมา เขาเป็นอาจารย์ของลูกกษัตริย์รัฐฉีคนหนึ่งที่มีโอกาสขึ้นเป็นกษัตริย์ ส่วนเป้าซูหยา(鲍叔牙 )) เพื่อนสนิทของก่วนจ้ง เป็นอาจารย์ของลูกกษัตริย์อีกคนหนึ่ง หลังการเสียชีวิตของกษัตริย์ฉีเซียงกง(齐襄公) รัฐฉีมีความวุ่นวาย กบฎหลายกลุ่มแย่งชิงอำนาจกัน จนลูกของกษัตริย์สองคน ต้องลี้ภัยไปอยู่รัฐอื่น เป้าซูหยาบอกก่วนจ้งว่า เมื่อบ้านเมืองสงบ ลูกกษัตริย์คนใดคนหนึ่งคงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ผู้เป็นอาจารย์จะดำรงตำแหน่งใหญ่ ถึงเวลานั้น คนที่ได้เป็นใหญ่ ควรแนะนำกษัตริย์ให้แต่งตั้งเพื่อนอีกคนหนึ่งมาช่วยทำงานรีบใช้รัฐด้วย
ต่อมา เมื่อรัฐฉีกลับสู่ความสงบ กลุ่มขุนนางที่ปราบปรามพวกกบฏได้ ต่างหาคนมาเป็นผู้ครองรัฐใหม่ ผู้ที่มีสิทธิ์ คือ ลูกชายกษัตริย์คนใดคนหนึ่ง จึงส่งคนไปเชิญลูกกษัตริย์ทั้งสองกลับมารัฐฉี แต่คนที่มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์ หรือผู้ครองรัฐมีถึงสองคน เหล่าสขุนนางที่ปราบกบฏได้ ตกลงกันว่า ถ้าคนไหนมาถึงก่อน ก็สถาปนาให้เป็นกษัตริย์หรือผู้ครองรัฐเลย บ้านเมืองจะได้สงบเรียบร้อยโดยเร็ว
ในเวลานั้น คุณชายจิว(公子纠)ลูกชายคนโตของกษัตริย์ ลี้ภัยอยู่ที่รัฐหลู่(鲁) ส่วนคุณชายเสี่ยวไป๋(小白)อยู่รัฐจวี่(莒) ทั้งสองรัฐนี้ อยู่ใกล้รัฐฉี แต่รัฐจวี่ใกล้ฉีมากกว่า ก่วนจ้งที่เป็นอาจารย์ของคุณชายจิว คิดว่า น่าจะไปสกัดกั้นคุณชายเสี่ยวไป๋ระหว่างทาง ทำให้เขาเดินทางได้ช้าลง จึงนำทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางไปสกัดขบวนของคุณชายเสี่ยวไป๋ แต่เมื่อเห็นคุณชายเสี่ยวไป๋มีทหารคุ้มครองแน่นหนา จึงบอกจะขอพบ แต่พอเห็นคุณชายเสียวไป๋ ก่วนจ้งง้างธนูยิงออกไป คิดว่าถ้าเขาเสียชีวิตแล้ว จะไม่มีทางกลับไปเป็นกษัตริย์ ลูกศรไปถูกคุณชายเสี่ยวไป๋ ทำให้เขาล้มลงทันที นัยว่า ถูกยิงเสียชีวิต ก่วนจ้งคิดว่าคุณชายเสี่ยวไป๋เสียชีวิตแล้ว จึงรีบหลบหนีไป
ที่แท้ ลูกศรยิงโดนตัวคุณชายเสี่ยวไป๋จริง แต่โดนหัวหัวเข็มขัดที่เป็นโลหะ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่เสี่ยวไป๋เป็นคนที่มีไหวพริบ กลัวก่วนจ้งจะยิงซํ้าอีก จึงทำเป็นถูงยิงตาย เมื่อได้เห็นก่วนจ้งหนีไปไกลแล้ว จึงสั่งการให้ขบวนออกเดินทางไปต่อไป เมื่อถึงเมืองหลวงรัฐฉี เหล่าขุนนางจึงสถาปนาคุณชายเสี่ยวไป๋ขึ้นเป็นกษัตริย์ คือ ฉีหวนกง(齐桓公)
เป้าซูหยาแนะนำว่า ควรส่งคนไปบอกรัฐหลู่ว่า บัดนี้ รัฐฉีมีกษัตรแล้ว ไม่ต้องส่งคุณชายจิวกลับมาอีก แต่หลู่จวงกง(鲁庄公) ผู้ครองรัฐหลู่ ยังอยากให้คุณชายจิวเป็นกษัตริย์รัฐฉี จึงยกกำลังบุกรัฐฉี ในช่วงที่รัฐฉียังไม่ได้เตรียมตัว หวังได้ชัยชนะ แล้วส่งทหารคุ้มครองคุณชายจิวกลับไปเป็นกษัตริย์รัฐฉี แต่ทหารรัฐหลู่ ถูกกองกำลังรัฐฉีตีกลับมาถึงชายแดนรัฐ จนต้องยอมแพ้ เป้าซูหยาเห็นว่าถ้าคุณชายจิวยังมีชีวิตอยู่ ฉีหวนกงคงเป็นกษัตริย์อย่างสบายใจได้ยาก จึงทำหนังสือให้หลู่จวงกง บอกว่า ฉีหวนกงไม่อยากฆ่าพี่ของตนเอง ขอให้รัฐหลู่ช่วยจัดการเรื่องนี้แทนและให้ส่งก่วนจ้งกลับมารับการลงโทษที่รัฐฉี หลู่จวงกงเห็นว่า หากไม่ฆ่าคุณชายจิว จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐฉีได้ยาก จึงฆ่าคุณชายจิวเสีย และจะส่งตัวก่วนจ้งจ้งกลับรัฐฉี แต่ขุนนางรัฐหลู่คนหนึ่งหลู่บอกว่าก่วนจ้งมีความรู้ความสามารถมาก ถ้าให้เขากลับไปรัฐฉี แล้วมีโอกาสรับราชการ จะไม่เป็นประโยชน์ต่อรัฐหลู่ ทางที่ดี ควรแต่งตั้งให้ก่วนจ้งรับราชการที่รัฐหลู่ ไม่ให้เขากลับไป แต่ผู้นำหนังสือมา บอกว่า ฉีหวนกงแค้นเคืองก่วนจ้งมาก อยากนำกลับไปฆ่าที่รัฐฉี หลู่จวงกงจึงส่งก่วนจ้งในฐานะนักโทษกลับรัฐฉี
เมื่อเป็นกษัตริย์แล้ว ฉีหวนกงคิดจะตั้งเป้าซูหยาเป็นอัครเสนาบดี แต่เป้าซูหยาบอกว่า เขาเองไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นอัครเสนาบดี ถ้าฉีหวนกงอยากให้รัฐฉีมีความเจริญรุ่งเรือง คนเหมาะสมเป็นอัครเสนาบดีที่สุด คือ ก่วนจ้ง หวนกงกล่าวว่า ก่วนจ้งหวังฆ่าข้าฯให้ตาย ข้าฯยังแค้นเคืองไม่หาย อยากจับเขามาลงโทษ จะให้มาเป็นใหญ่ได้อย่างไร เป้าซูหยาอธิบายว่า ก่วนจ้งเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านาย ตอนเขายิงธนู เจ้านายเขา คือ คุณชายจิว ถ้าจะให้จิวเป็นกษัตริย์ ก็ต้องขจัดฉีหวนกงออกไป ตอนนี้ คุณชายจิวเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าแต่งตั้งเขาเป็นอัครเสนาบดี เจ้านายของก่วนจ้งในเวลานี้ คือ ฉีหวนกง ด้วยความรู้ความสามารถของเขา จะทำให้รัฐฉีก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจได้ เป้าสูหยา ได้เล่าคุณสมบัติก่วนจ้งให้ฉีหวนกงฟัง แล้วแนะนำฉีหวนกงคุยนโยบายบริหารรัฐกับก่วนจ้ง
เมื่อก่วนโจ้งมาถึงรัฐฉีแล้ว ก็ถูกปล่อยตัวออกจากรถคุมขัง แล้วพาไปพบฉีหวนกง คุยเรื่องนโยบายการบริหารรัฐเป็นเวลาหลายวัน ฉีหวนกง ชื่นชมในความคิดในนโยบายของก่วนจ้งมาก จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นอัครเสนาบดี ที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารปกครองรัฐ
นโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง กาทหาร ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐของก่วนจ้งมีอยู่มาก ตลอดเวลา 40 ปีที่เขามีอำนาจอยู่ รัฐฉีเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เศรษฐกิจดี ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น บ้านเมืองสงบเรียบร้อย มีแสนยานุภาพที่เข้มแข็งมาก แต่ไม่รุกรานรัฐอื่น ดำเนินนโยบายยกย่องกษัตริย์ราชวงศ์โจว ที่เป็นกษัตริย์ร่วมของรัฐต่างๆ และปราบปรามชนเผ่าที่ไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์โจว (ในที่นี้จะไม่เล่ารายละเอียด ผู้สนใจ อ่านบทความชุดเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านเรื่อง“ ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้ง” และบทตวามชุดนิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน ในเรื่อง“ ยุทธศาสตร์และนโยบายการปกครองรัฐฉีของก่วนจ้ง” ที่เขียนมาก่อนหน้านี้ได้)
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องราวของก่สนจ้ง
ในเรื่องนี้ ผู้ที่ควรได้รับการยกย่อง คือ ฉีหวนกงที่ไม่ลงโทษก่วนจ้ง และเคยคิดที่จะฆ่าเขา แต่กลับใช้เขาทำงานที่มีตำแหน่งสูง ทำให้รัฐฉีมีความเจริญรุ่งเรืองมาก จนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจรัฐแรกในยุคชุนชิว หากฉีหวนกงไม่ให้อภัยก่วนจ้ง และสั่งฑ่าเขา ชื่อก่วนจ้ง อาจไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีน
เรื่องราวของฉีหวนกงและก่วนจ้ง มีส่วนที่คล้ายคลึงกับเรื่องในตอนต้นของราชวงศ์ถัง(唐)อีกกว่าพันปีต่อมา ที่กษัตริย์ถังไท่จง(唐太宗)ชิงราชบัลลังก์กับพี่ชาย และแต่งตั้งวุ่ยเจิง(魏征)เสนาธิการเอกของพี่ชายเป็นอัครเสนาบดี จนช่วยทำให้ราชวงศ์ถังมีความเจริญรุ่งเรืองมากการใช้คนที่มีความรู้ความสามารถ แม้คนนี้ เคยเป็นปรปักษ์กับตน จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของผู้ปกครองประเทศที่ดี
เป้าซูหยา เพื่อนสนิทของก่วนจ้ง ก็เป็นอีกคนที่ควรได้รับการยกย่อง เป้าซูหยาเคยร่วมทำการค้ากับก่วนจ้ง เมื่อได้กำไร ก็ยอมแบ่งกำไรให้แก่ก่วนจ้งเป็นส่วนมาก เพราะเห็นว่าก่วนจ้งมีครอบครัวยากจน ต่อมา ก็เกลี้ยกล่อมให้ฉีหวนกงให้อภัยก่วนจ้ง และแนะนำให้แต่งตั้งเขา เป็นอัครเสนาบดี ทั้วที่ตนเองมีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งนี้แต่แรก การเป็นเพื่อนระหว่างก่วนจ้งกับเป้ซูหยาเป็นเรื่องกล่าวขวัญกันมากในประวัติศาสตร์จีน จนมีสุภาษิตว่า“ การคบค้าสมาคมระหว่างก่วน-เป้า”(管鲍之交)







