โครงสร้างรัฐและระบอบการปกครองทางการเมือง ประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ตอนที่ 1

โครงสร้างรัฐและระบอบการปกครองทางการเมือง
ประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ตอนที่ 1
ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
คณะรัฐประศาสนศาสตร์ วทส.
ในบทความสั้นๆนี้อยากจะหยิบยกเกี่ยวกับโครงสร้างของรัฐอิสลามในอิหร่านมากล่าวสักเล็กหน่อย เพื่อให้เห็นถึงนวัตกรรมความคิดทางการเมืองของอิมามโคมัยนีที่ได้วางระบอบการปกครองไว้เป็นอย่างไรและเพื่อให้ผู้อ่านได้เปรียบเทียบกับระรอบการเมืองประเทศอื่นๆ ไม่ว่าเรื่อง ผู้นำสูงสุด ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือฝ่ายตุลาการและประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดี เป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี2021 นี้นั้น นักวิเคราะห์การเมืองตะวันออกกลางและด้านอิหร่านศึกษามองว่า เป็นการเลือกตั้งที่น่าจับตามองทีเดียว เพราะว่าขั้วอำนาจทางการเมืองจากปีกอนุรักษ์นิยมนั้นอาจจะได้เสียงข้างมากในสภาและตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่๘ของอิหร่านอาจจะมาจากขั้วการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมและในขณะเดียวกันฟากฝั่งปฏิรูปก็พยายามที่รักษาฐานเสียงของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้น อยากจะให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของการเมืองและรัฐบาลประเทศอิหร่าน เพื่อปูทางการเข้าใจต่อการเมืองในอิหร่านวันนี้
ระบอบการปกครองประเทศอิหร่านถือกำเนิดขึ้นตามโครงสร้าง ในระบอบสาธารณรัฐอิสลาม อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) และแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) โดยได้ประกาศให้มีระบอบโครงหลักดังนี้
๑. ผู้นำสูงสุด (Supreme Leader)
ผู้นำสูงสุด(Supreme Leader) เป็นผู้นำสูงสุดทั้งฝ่ายศาสนาจักรและอาณาจักร ประมุขสูงสุด ผู้มีบารมีตามรัฐธรรมนูญ ดูแลกองทัพ ศาล ทหารและ สื่อ และผู้นำสูงสุด มีหน้าที่รับผิดชอบในการอำนวยการ นโยบายต่างๆของประเทศ ผู้นำสูงสุดดำรงตำแหน่งเป็นจอมทัพของกองทัพ ควบคุมฝ่ายราชการลับทางทหารและการปฎิบัติภารกิจต่างๆทางด้านความมั่นคง และมีอำนาจเพียงผู้เดียวในการประกาศสงคราม และผู้นำสูงสุดยังมีอำนาจในการแต่งตั้งฝ่ายตุลาการ เครือข่ายวิทยุโทรศัทน์ที่เป็นของรัฐ และเป็นผู้บัญชาการตำรวจและกองทัพ อีกทั้งยังเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิก๖คนในจำนวน๑๒คนจากสภาพิทักษ์ปฎิวัติ(Guardian Council) แต่ขณะเดียวกันผู้นำสูงสุดอาจจะถูกปลดหรือถูกเลือกมาจากองค์ประชุมคณะผู้ชำนาญการ(Assembly of Experts)
บุคคลแรกประมุขสูงสุดของอิหร่านคืออิมามโคมัยนี และอายาตุลเลาะห์ ซัยยิดอาลี คาเมนี (Ahyatollah Ali Kamanei) คือผู้นำสูงสุดในปัจจุบัน โดยมีอำนาจเป็นผู้ควบคุมและกำหนดแนวนโยบายทั่วไปของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เป็นผู้นำของประเทศ
ในประเด็นผู้นำสูงสุดของอิหร่านมีรายละเอียดที่น่าสนใจและถือว่าเป็นโครงสร้างของระบอบการปกครองที่ผ่านการสังเคราะห์โดยหลักคิดของอิมามโคมัยนีตามปรัชญาการเมืองอิสลามว่าด้วยเรื่อง “รัฐปราชญาธิปไตย”(วิลายะตุลฟะกี)
ผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่าน หรือเรียกตามภาษาเปอร์เซียว่า ولی فقیه ایران, vali-e faghih-e iran,แปลตามตัวอักษร ปราชญ์กฎหมายผู้พิทักษ์อิหร่าน หรือ رهبر انقلاب rahbar-e enghelab แปลตามตัวอักษร ผู้นำการปฏิวัติ เป็นประมุขแห่งรัฐและผู้นำสูงสุดทางการเมืองและศาสนาของ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ตำแหน่งนี้ตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญของอิหร่านภายใต้หลักการของ Guardianship of the Islamic Jurists คำว่า ผู้นำ “สูงสุด” (Persian: ولی فقیه, vali-e faghih)
ตำแหน่งผู้นำนี้มีอำนาจสูงกว่าประธานาธิบดีอิหร่านและมีอำนาจแต่งตั้งผู้นำองค์กรที่สำคัญต่างๆ ของประเทศ ทั้งทางทหาร พลเรือน และตุลาการ แต่เดิมนั้นรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าผู้นำสูงสุดต้องเป็น Marja’-e taqlid ตำแหน่งสูงสุดทางกฎหมายศาสนาของสำนักคิดชีอะฮ์สาขาสิบสองอิมาม แต่ในประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อ ค.ศ. 1989 ได้มีการแก้ไขให้ผู้นำสูงสุดไม่จำเป็นต้องมาจากผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอีกต่อไป
ในประวัติศาสตร์มีผู้ดำรงตำแหน่งนี้เพียงสองคนเท่านั้น คือ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1979 จนถึงแก่กรรมในตำแหน่งเมื่อ ค.ศ. 1989 และ อะลี คอเมเนอี ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อมาถึงปัจจุบัน โดยผู้นำสูงสุดมาจากการเลือกตั้งองค์ประชุมคณะผู้ชำนาญการ Assembly of Experts โดยตำแหน่งผู้นำสูงสุดนั้นไม่มีวาระการดำรงตำแหน่ง แต่ทว่าดำรงตำแหน่งจนถึงวาระการเสียชีวิต
ผู้นำสูงสุดมาจากการเลือกตั้งของ Assembly of Experts (مجلس خبرگان, Majles-e Khobregan) ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่งได้ 8 ปี และไม่จำกัดจำนวนวาระที่ดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ผู้นำสูงสุดเป็นผู้บัญชาการกองกำลังแห่งอิหร่าน และเป็นผู้นำแห่งรัฐบาลทั้งสามสาขา ทั้งตุลาการ นิติบัญญัติ และบริหาร
ผู้นำสูงสุดอิหร่านยังมีอำนาจในการแต่งตั้งโดยตรงและรับรองโดยพิธี ของการเป็นประธานาธิบดี และอาจซักฟอกประธานาธิบดีได้เมื่อมี 2 ใน 3 ของสภาร่วม
ผู้นำสูงสุดแต่งตั้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายตุลาการ the Chief justice head of the Judiciary Branch قوه قضائیه usually a member of the Council of Experts) ให้ดำรงตำแหน่งมีวาระ 8 ปี สมาชิกแห่ง the Expediency Discernment Council ให้ดำรงตำแหน่งมีวาระ 5 ปี
ผู้นำสูงสุดอิหร่านมีอำนาจในการเลือกสมาชิกสภาพิทักษ์ปฎิวัติ the Guardian Council 6 คน จากสมาชิกแห่ง the Council of Experts ส่วนสมาชิกอีก 6 คน ถูกเลือกโดยรัฐสภา Majles
๒. ประธานาธิบดี ( President)
รัฐธรรมนูญได้นิยามไว้ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดี มีอำนาจการบริหารและมีอำนาจรัฐสูงสุดรองลงมาจากตำแหน่งผู้ นำสูงสุด(Supreme Leader) และเป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี และจะได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกิน 2 สมัย ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร ถึงแม้ประธานาธิบดีจะได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนก็ตาม แต่อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยประมุขสูงสุดได้ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่านต้องมีอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป และผู้สมัครนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งการพิทักษ์(Guardian Council) ก่อนที่จะลงสนามการเลือกตั้ง
ตามมาตราที่ 99 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร สาธารณรัฐอิสลามอิสลามแห่งอิหร่าน ผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ต้องผ่านการเห็นชอบจากสภาแห่งการพิทักษ์(Guardian Council)
ประธานาธิบดีอิหร่าน เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงสุดของประเทศ การแต่งตั้งประธานาธิบดีต้องได้รับการเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดอิหร่านก่อนที่จะทำการสาบานตนต่อศาลและรัฐสภา ผู้นำสูงสุดอิหร่านมีอำนาจเต็มในการปลดประธานาธิบดีได้ทุกเมื่อ ประธานาธิบดีอิหร่านมีหน้าที่ลงนามตราใช้กฎหมาย และสนองคำสั่งของผู้นำสูงสุดอิหร่านผู้ทำหน้าที่ประมุขแห่งรัฐ ประธานาธิบดีอิหร่านแตกต่างจากประธานาธิบดีของหลายประเทศ ประธานาธิบดีอิหร่านไม่ได้ผูกขาดอำนาจบัญชาเหนือรัฐบาล อำนาจบัญชารัฐบาลแทบทั้งหมดอยู่ในมือของผู้นำสูงสุดอิหร่าน ประธานาธิบดีอิหร่านมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระดำรงตำแหน่งสมัยละสี่ปี และห้ามดำรงตำแหน่งเกินกว่าสองสมัยหรือมากกว่า 8 ปี
คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถูกกำหนดโดยมาตรา 9 แห่งรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน การเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งอื่น ๆ ทั้งหมดในประเทศอิหร่านถูกกำหนดโดยผู้นำสูงสุดอิหร่าน หน้าที่ของประธานาธิบดีได้แก่: ตรากฎหมายและปฏิบัติตามผู้นำสูงสุด, ลงนามสนธิสัญญากับต่างชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศ, กำกับดูแลแผนยุทธศาสตร์ชาติ การงบประมาณ และการจ้างงานของรัฐเป็นต้น ประธานาธิบดีอิหร่านยังมีหน้าที่แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยความยินยอมของรัฐสภาและผู้นำสูงสุด ผู้นำสูงสุดมีอำนาจปลดรัฐมนตรีได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภาหรือประธานาธิบดี ผู้นำสูงสุดเป็นผู้เลือกรัฐมนตรีว่าการกลาโหม รัฐมนตรีว่าการข่าวกรอง และรัฐมนตรีการต่างประเทศโดยตรง และหลังจากการปฎิวัติ 1979 ตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่าน มีทั้งหมด ๗ คน ประกอบด้วย
๑. อะบุลฮะซัน บะนี ศัดร์
๒.มุฮัมมัด อะลี รอญาอี
๓.ซัยยิดอะลี คามาเนอี (ผู้นำสูงสุดปัจจุบัน)
๔.อักบัร ฮาชิมี รัฟซันยานี
๕. ซัยยิด มุฮัมมัด คาตามี
๖. มะมูด อะมะดี เนจาด
๗. ฮัสซัน รูฮานี (ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน)
ตัวชี้วัดหนึ่งของโครงสร้างรัฐถะอิสลามในอิหร่าน เกิดจากความพึงพอใจของประชาชนที่ปรารถนาจะให้เกิดการปกครองในระบอบอิสลาม(Islamic State) ดังนั้นสัญญาณที่ส่องประกายอย่างชัดแจ้งที่พิสูจน์ได้ในช่วงเวลาการได้รับความสำเร็จของการปฎิวัติอิสลามในอิหร่าน 1979นั้นคือ โครงสร้างของรัฐที่ตั้งอยู่ในระบอบ”สาธารณรัฐอิสลาม”(Islamic Republic)โดยการลงมติของประชาชนชาวอิหร่านให้เลือกระบอบการปกครองของพวกเขาเอง
วันที่๑ เมษายน ๑๙๗๙ ประชาชนชาวอิหร่านต่างได้ออกมาเลือกตั้งเพื่อกำหนดระบอบการปกครองรัฐบาล ผลปรากฏการลงมติประชามติด้วยการลงคะแนนเสียงในครั้งนั้นมีจำนวนท่วมท้นถึงรอ้ยละ 98.2ที่ให้ความนิยมชมชอบต่อระบอบ”สาธารณรัฐอิสลาม”ของรัฐบาล คะแนนเสียงทั้งหมดมากกว่า ๒๐ล้านเสียงและหลังจากนั้นประชาชนอิหร่านได้ลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติ(สภามัจลิส) เพื่อให้ทำหน้าที่ในการประมวลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเป็นครั้งแรก ในวันที่ ๓ สิงหาคม 1979 ด้วยมีผู้ออกมาเลือกตั้งมากกว่า ๑๕ล้านเสียง และหลังจากนั้นประชาชนได้ลงคะแนนเสียงครั้งอีก วันที่ ๘ พฤศจิกายน 1979 เพื่อให้การยินยอมเห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญ มีประชาชนออกมาออกเสียงอย่างล้นหลาม และหลังจากนั้นประชาชนได้ออกมาเลือกประธานาธิบดีครั้งแรกหลังการปฎิวัติ ในวันที่ ๒๕ มกราคม 1980 และ ดร.อะบุลฮะซัน บานี ศอดร์ ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี แต่ทว่าได้บริหารประเทศไม่นาน เนื่องจากยังคงร่างทรงของมหาอำนาจอยู่และได้เผยธาตุแท้ออกมาโดยการรับใช้ต่างชาติ จึงได้ถูกถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งและตำแหน่งสำคัญอื่นๆเช่นตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้ห้อำนาจประธานาธิบดีดูแลกองทัพในฐานะผู้บัญชาการ และบุคคลที่ได้ถอดถอนตำแหน่งนั้น คือ อิมามโคมัยนี ที่อยู่ในฐานะประมุขประเทศ มีอำนาจสูงสุดของรัฐและเป็นรัฐ”วิลายะตุลฟากี”ระบอบปราชญาธิปไตย และหลังจากนั้นสภานิติบัญญัติ(สภามัจลิส)ไม่ไว้วางใจในการบริหารประเทศของ บานี ศอดร์ และหมดความชอบธรรมต่อการเป็นประธานาธิบดี
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าหลังจากชัยชนะการปฎิวัติอิสลามปี 1979 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 1979 ได้มีประธานธิบดี ๓ ท่าน คือ ดร.อะบุลฮะซัน บะนี ศอดร์ ดร.มุฮัมมัด อะลี รอญาอี และซัยยิดอะลี คามาเนอี(ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน) และยังมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีก ๓ คน คือ ดร.มุฮัมมัด อะลี รอญาอี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยประธานาธิบดี บานี ศอดร์ คนที่สอง มุฮัมมัด ยะวาด บาฮุนาร เป็นนายกฯในสมัยประธานาธิบดี มุฮัมมัด อะลี รอญาอี คนที่สาม มีร ฮุเซน มูซาวี เป็นนายกฯในประธานาธิบดี ซัยยิด อะลี คามานเนอีตำแหน่งประธานาธิบดีในรัฐธรรมนูญปี 1979 เป็นตำแหน่งมีหน้าที่กำกับดูแลรัฐธรรมนูญและดูแลฝ่ายสภาความมั่นคงแห่งชาติและสภาสูงแห่งการปฎิวัติวัฒนธรรม แต่ก็ยังมีอำนาจกำกับดูแลตำแหน่งกองทัพสูงสุด ดังนั้นตำแหน่งประธานาธิบดีอาจจะถูกปลดหรือถูกปฎิเสธคุณสมบัติโดยผู้นำสูงสุด และจะหมดอำนาจทันทีและจะไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ
ตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกหลังปฎิวัติคือ อะบุลฮะซัน บะนี ศอดร์ ด้วยคะแนนมากกว่า ๑๐.๗ล้านหรือประมาณ ๗๖%ของการเลือกตั้งประธานาธิบดี บะนีศอดร์ได้รับการสนับสนุนจากพรรคอิสลามนิยมฝ่ายซ้ายและพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ ซึ่งเป็นช่วงแรกเริ่มของการชัยชนะการปฎิวัติ และถือว่าเป็นช่วงวุ่นวายในประเทศอยู่พอสมควรได้เกิดเหตุการณ์มากมาย เช่นการเหตุการณ์การบุกสถานทูตสหรัฐฯในกรุงเตหรานและจับตัวประกันไว้ถึง444วัน และยังมีปัญหาภายในที่ยังคุกคลุ่นอยู่ จนในที่สุดเขาไม่สามารถจะบริหารประเทศได้ ทำให้สภานิติบัญญัติ ได้เปิดอภิปราย ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ มากถึง ๑๗๗เสียง งดออกเสียง ๑๓เสียง และปฎิเสธ ๑ เสียง ทำให้เขาไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้และสิ้นสุดการเป็นประธานาธิบดี และในขณะนั้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ ดร.มุฮัมมัด อะลี รอญาอี หลังจากนั้นสภาได้เปิดให้มีการเลือกตั้งประธานธิบดี ทำให้ดร.มุฮัมมดั อะลี รอญาอี ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากถึง๑๓ล้าน หรือประมาณ ๙๐% แต่ได้ตำรงตำแหน่งเพียง ๒๘วันเท่านั้น เพราะได้ถูกลอบสังหารด้วยการวางระเบิดวันที่๓๑ สิงหาคม 1981 โดยกลุ่ม MKO ณ ทำเนียบประธานาธิบดี เสียชีวิต และทำให้สภานิติบัญญัติได้ดำเนินการเปิดสภาเพื่อเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ดังนั้นสภาได้เสนอ ชื่อซัยยิด อาลี คามาเนอีการเป็นประธานาธิบดีและเขาได้รับการเลือกตั้งมากถึง๑๖ล้านเสียงในวันที่ ๒ ตุลาคม ๑๙๘๑ และอายาตุลลอฮ์ ซัยยิด อะลี คามาเนอียังได้ดำรงตำแหน่ง๒สมัย ซึ่งในสมัยที่สองได้รับความไว้วางใจเลือกตั้งมากกว่า ๑๓.๓ล้านเสียง และถือว่าเป็นประธานาธิบดีคนที่๓ ของอิหร่าน
ในตอนต่อไปเราจะกล่าวถึง การเปลี่ยนผ่านของตำแหน่งประธานาธิบดี กับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอิหร่าน ซึ่งทำให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถูกยกเลิก และเพิ่มอำนาจให้ประธานาธิบดี







