jos55 instaslot88 Pusat Togel Online สหรัฐกำลังจะก่อสงครามเพื่อเอาตัวรอด - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

สหรัฐกำลังจะก่อสงครามเพื่อเอาตัวรอด

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
www.INEWHORIZON.NET
สหรัฐกำลังจะก่อสงครามเพื่อเอาตัวรอด

ในยุคปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีนโยบายก้าวร้าว และขัดแย้งกับหลายประเทศในหลายภูมิภาค ด้วยนโยบายการต่างประเทศแบบนักเลงโต ขนาดรมต.การต่างประเทศอย่าง นายเรกซ์ ทิลเลอร์สัน นี่ก็ค่อนข้างแข็งกร้าวยังไม่เป็นที่พอใจของทรัมป์ จนปลดออกและแต่งตั้งเอาผอ.ซีไอเอ ที่เป็นเหยี่ยวสงครามมาเป็นแทน ขณะที่ผอ.คนใหม่ก็เคยมีบทบาทที่รุนแรงในหลายพื้นที่ ภายใต้ขอบเขตของซีไอเอ เช่น การเคยมาเป็นผู้คุมคุกลับที่กักขังทารุญนักโทษอย่างผิดกฎหมายของสหรัฐฯ และในความเป็นจริงก็ขัดกฎหมายในประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทย แต่สหรัฐฯก็ใช้อภิสิทธิมาละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการรู้เห็นเป็นใจจากรัฐบาลไทย ทำให้สหรัฐฯมาก่อกรรมทำเข็ญในแผ่นดินนี้ และมีผอ.ซีไอเอ คนใหม่มาเป็นผบ.คุกในขณะนั้น
นอกจากนโยบายก้าวร้าวดังกล่าวสหรัฐฯยังจุดไฟสงครามขึ้นในหลายพื้นที่ที่รุนแรงที่สุดก็คงเป็นสงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งไม่มีท่าทีจะสงบลงง่ายๆ ในทางตรงข้ามมีโอกาสที่จะขยายตัวออกไปกระทบถึงพื้นที่ใกล้เคียง อย่างอิหร่าน หรือแม้แต่ตุรกี และเพื่อให้สหรัฐฯได้ประโยชน์จากสงครามอย่างเต็มที่ก็ต้องเร่งขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เต็มที่ ทั้งนี้สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งสตอกโฮล์ม (SIPRI) ได้ออกรายงานการขายอาวุธทั่วโลกในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2008-2012 โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังตะวันออกกลาง รองลงมาคือเอเชียและแปซิฟิค โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ส่งออกหลัก ตามมาด้วยรัสเซีย และอังกฤษ
ทั้งนี้สหรัฐฯมีสัดส่วนของตลาดอาวุธถึง 34% และในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาสหรัฐฯมียอดขายเพิ่มขึ้น 25% ส่วนรัสเซียมีสัดส่วนตลาด 22% ฝรั่งเศสและเยอรมันก็ทำยอดใกล้เคียงกันกับอังกฤษ
อนึ่งลูกค้ารายใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง คือ อินเดีย ซึ่งมีความตึงเครียดกับจีนและปากีสถาน แต่ซาอุดิอารเบียก็ครองอันดับ 2 โดยในช่วงห้าปีนี้ได้เพิ่มการสั่งซื้ออาวุธเข้ามากว่าเท่าตัวจากปี 2008-2012 ถัดมาคืออียิปต์ที่มีหนี้สินบานเบอะก็ยังขยันซื้ออาวุธโดยการเป็นหนี้สหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายหลังการป่วยของประมุขรัฐ พระอนุชาก็สั่งซื้ออาวุธจำนวนมาก เพราะมีเงินมากและสนับสนุนนโยบายก้าวร้าวตามซาอุดิอารเบีย โดยเฉพาะการทุ่มเทในสงครามเยเมน จีนก็ไม่น้อยหน้าเพราะสั่งเข้าประมาณ 20% แม้จะลดลงเพราะผลิตเองเพิ่มขึ้น แต่ก็แสดงว่าจีนได้สะสมอาวุธเป็นจำนวนมาก ส่วนยุโรปสั่งอาวุธเข้าน้อยลง ยกเว้นยูเครน
จากแนวโน้มความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆ เช่น ในตะวันออกกลางในทะเลจีนตอนใต้ และยูเครน ทำให้เกิดการคาดคะเนกันว่าอีกไม่นานคงเกิดสงครามใหญ่ จึงทำให้ประเทศต่างๆทำการสะสมอาวุธกันอย่างเร่งรีบ
ล่าสุดเมื่ออังกฤษได้ทำการขับนักการทูตรัสเซียออกนอกประเทศกว่าสองโหล ด้วยข้อหาว่าทำการวางยาพิษสังหารสายลับสองหน้า เซอร์เก สกิริปัล ซึ่งเขาผู้นี้เป็นผู้ขายรายชื่อสายลับรัสเซียในยุโรปให้แก่ เอมไอ 6 และ นางเทเรซ่า เม นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังประกาศกร้าวที่จะให้รัสเซียอธิบายในเรื่องนี้ มิฉะนั้นจะถือว่ารัสเซียได้กระทำผิดกฎหมายในประเทศอังกฤษ
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้อังกฤษยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่จะเชื่อมโยงว่าเป็นการกระทำของรัสเซีย คำกล่าวหาเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ในอีกด้านหนึ่งสหรัฐฯก็ข่มขู่คุกคามที่จะโจมตีซีเรีย โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลของนายอัสซาดได้ใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนในเขตยึดครองของฝ่ายขบถ โดยเฉพาะในเขตโกตาตะวันออก โดยนางนิกกี้ ฮาลี ได้กล่าวว่าหากสหประชาชาติไม่ทำอะไรในเรื่องนี้ สหรัฐฯจะดำเนินการเอง ซึ่งนั่นหมายถึงว่าสหรัฐฯจะโจมตีซีเรีย และรัฐบาลซีเรีย เหมือนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งให้ยิงจรวดโทมาฮอก จากเรือรบ ถล่มซีเรียมาแล้ว เรื่องนี้ก็เช่นกัน สหรัฐฯไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่จะเชื่อมโยงไปถึงการใช้อาวุธเคมีของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย นอกจากพยานจากพวกกบฏ และหน่วยเอ็นจีโอหมวกขาวซึ่งก็เป็นที่ทราบดีว่าได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯและอังกฤษ
ในทางตรงข้ามมีรายงานจากสื่อที่ไม่ใช่สื่อหลักของสหรัฐฯอย่าง CNN หรือของอังกฤษอย่าง BBC รายงานว่ามีหลักฐานว่าฝ่ายกบฏนั่นเองเป็นผู้ใช้อาวุธเคมีทำร้ายพลเรือน เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาลซีเรีย โดยมีการจัดฉากกับหน่วยหมวกขาวนั่นเอง
งานนี้รัสเซียจึงประกาศกร้าวเช่นกันว่า รัสเซียจะถือว่าการโจมตีใดๆต่อพันธมิตรของรัสเซีย จะถือว่าเป็นการโจมตีรัสเซีย และจะมีการตอบโต้แน่นอน
ในอีกสมรภูมิหนึ่ง คือ ยุโรปตะวันออก นาโต้ได้เสริมกำลังในยูเครนโดยอ้างว่าเพื่อป้องปรามการคุกคามของรัสเซีย ขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมการติดตั้งขีปนาวุธในรัฐเล็กๆทางเหนือ คือ แถบลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย
ในเขตทะเลจีนตอนใต้คือแถบหมู่เกาะสแปรตลีจีนก็เสริมกำลังทั้งทางเรือและทางอาวุธนำวิถี ตลอดจนระบบการสื่อสารทันสมัย ในขณะเดียวกันจีนก็กำลังเร่งการผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์ เพื่อคานอำนาจทางทะเลกับสหรัฐฯ พร้อมๆกันนั้นก็ส่งกองเรือรบเข้าไปในมหาสมุทรอินเดีย โดยประสานงานกับการรีบเร่งก่อสร้างฐานทัพเรือที่ปากีสถาน และท่าเรือน้ำลึกที่ศรีลังกา
มองกลับไปที่ตะวันออกกลางอิสราเอลก็ดำเนินนโยบายที่ก้าวร้าวมากขึ้น โดยคุกคามเลบานอน จากทางใต้ เพื่อแย่งยึดเขตน้ำมันของเลบานอน ในปาเลสไตน์ก็ใช้นโยบายโจมตีฮามาสบ่อยขึ้น ด้านการทูตก็จับมือกับซาอุดิอารเบีย ดำเนินนโยบายต่อต้านอิหร่าน ซึ่งอาจนำมาสู่การโจมตีอิหร่านก่อน เหมือนที่เคยโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของอิรัก แต่การโจมตีอิหร่านไม่ง่ายนัก เพราะระยะการบินที่ยาวไกลกว่า หากแต่กองเรือรบของสหรัฐฯในอ่าวเปอร์เซียก็พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่
ทีนี้กลับมาดูสหรัฐฯ ซึ่งเป็นต้นตอของความตึงเครียดหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ สหรัฐฯที่ก่อตั้งโดยกลุ่มที่ต่อต้านการสงคราม คือกลุ่มพิวริตันที่เป็นกุล่มศาสนาที่ถูกขับออกจากอังกฤษเมื่อ 240 ปีมาแล้ว ภายในเบื้องต้นจึงมองว่าสหรัฐฯน่าจะเป็นประเทศที่รักสันติ แต่ปรากฏว่าสหรัฐฯทำสงครามใหญ่มาแล้ว 12 ครั้ง เฉลี่ย 20 ปี ต่อครั้ง ไม่นับสงครามเล็กๆ ฉะนั้นจึงพอสรุปได้ว่าสหรัฐฯเป็นประเทศที่ค้าสงครามเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเอง โดยประชาชนผู้รักสันติและมีจำนวนไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน ไม่มีน้ำยาจะต่อต้านคัดค้าน แม้จะมีการเดินขบวนหรือแสดงออกต่อสาธารณะในการต่อต้านก็ตาม แต่เสียงเหล่านั้นมิได้รับการรับฟังจากฝ่ายบริหารหรือเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาเลย
ยิ่งได้มีการแก้ไขกฎหมายต่างๆในยุคของยอร์ชดับเบิลยู บุช ผู้อาศัยเหตุจากการระเบิดตึกเวิร์ลเทรด 9/11 ออกกฎหมายปกป้องมาตุภูมิทำให้ฝ่ายบริหารสามารถประกาศสงครามได้โดยไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐสภา ยิ่งทำให้ฝ่ายบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์มีโอกาสก่อสงครามได้ง่ายๆ
และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองการก่อสงครามดูจะเป็นมูลเหตุจูงใจที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพราะจะได้ประโยชน์จากการขายอาวุธที่อยู่ในมือนายทุนใหญ่ นอกจากนี้ยังส่งคนยากจนไปสงครามเพื่อแก้ปัญหาภายใน ซึ่งเวลานี้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนร่ำรวย แผ่กว้างไปทุกที มีประชากรไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน ที่มีฐานะยากจน กว่าครึ่งไม่มีที่อยู่อาศัย หลายสิบล้านไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาด้านสุขภาพของเด็กๆจำนวนกว่าสิบล้านกำลังเป็นปัญหาหลักของชาติ คนเหล่านี้ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล แถมงบประมาณในด้านสวัสดิการยังถูกตัดทอนลงเกือบครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นนโยบายด้านภาษีของทรัมป์ยังทำให้ช่องว่างคนจนคนรวยยิ่งห่างออกไปทุกที
ดังนั้นหากสหรัฐฯจะก่อสงครามขนาดใหญ่ก็จะเกิดผลดีต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะเหล่านายทุนและผู้กุ่มอำนาจรัฐอย่างขบวนการไซออนิสต์ ส่วนคนจนก็ต้องเป็นเหยื่อด้วยการเสี่ยงชีวิตออกไปรบเพื่อหวังรายได้และสวัสดิการในตอนปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะถูกทอดทิ้งอย่างไรภายหลังเป็นอีกเรื่อง..เศร้าครับ เพราะชาวโลกก็จะพลอยเดือดร้อนแสนสาหัสไปด้วย จากไฟสงคราม

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *